แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
วันเวลาเกิดเหตุในคำฟ้องเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง หาใช่ข้อสารสำคัญไม่ ฉะนั้น แม้ทางพิจารณาจะฟังว่าเหตุเกิดคนละวันกับที่ระบุมาในฟ้อง และจำเลยก็มิได้หลงข้อต่อสู้ ย่อมเป็นฟ้องที่ใช้ได้ (เทียบฎีกาที่ 926/2510 ในที่ประชุมใหญ่)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๐๙ เวลากลางวันจำเลยได้ใช้กำลังกายเตะทำร้ายนางสาวโอษาได้รับบาดเจ็บ และภายหลังได้กักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ตลอดคืน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๕, ๓๑๐
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๐๙ เวลากลางวันผู้เสียหายได้กระทำอนาจารต่อนางสาวน้ำทิพย์บุตรสาวจำเลย จึงได้เรียกผู้เสียหายมาสอบถาม ผู้เสียหายยอมรับผิดและขอขมาจำเลยแล้วจำเลยมิได้กระทำผิดตามที่กล่าวหา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ และฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังตามมาตรา ๓๑๐รวม ๒ กระทง ให้เรียงกระทงลงโทษรวมจำคุกไว้ ๑ ปี ๘ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า เหตุเกิดวันที่ ๑๙ แต่ทางพิจารณาฟังว่าเป็นวันที่ ๑๘ วันเวลาเกิดเหตุนับว่าเป็นสารสำคัญของฟ้อง และจำเลยได้หลงต่อสู้ คดีไม่อาจลงโทษจำเลยได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า วันเวลาเกิดเหตุเป็นรายละเอียดที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องหาใช่ข้อสารสำคัญไม่ และจำเลยก็มิได้หลงข้อต่อสู้ส่วนข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยมาศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้เสร็จไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ และฟังว่าจำเลยมิได้กระทำผิดตามฟ้อง พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ในผลที่ให้ยกฟ้องโจทก์.