คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 455/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หน้าที่โอนขายที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมนั้น ทั้งตามกฎหมาย และโดยสภาพไม่ใช่เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ จึงเป็นมรดกของผู้ตาย ผู้ซื้อในฐานะเจ้าหนี้กองมรดกย่อมมีสิทธิขอให้บังคับดีเอาที่ดินของผู้ตายโอนชำระหนี้ ให้แก่ตนได้ตามคำพิพากษา
ที่ดินมรดกของผู้ตายเป็นทรัพย์ซึ่งจะต้องโอนขายตามคำพิพากษาอยู่ก่อนแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจดำเนินการบังคับดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้จนเสร็จการ แม้โจทก์จะได้รับมรดกที่ดินมาตามพินัยกรรม และจดทะเบียนรับโอนแล้ว แต่ที่ดินดังกล่าวก็เป็นมรดกที่ยังอยู่ในระหว่างการจัดการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1736 เพราะผู้ซื้อเป็นเจ้าหนี้กองมรดกซึ่งปรากฏตัวยังไม่ได้รับชำระหนี้ ผู้ซื้อจึงมีสิทธิดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมเอาจากกองมรดกของผู้ตายได้โดยตรง ไม่จำต้องร้องฟ้องโจทก์เป็นคดีใหม่
การที่ผู้ซื้อขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาเอาจากกองมรดก มิใช่เป็นกรณีฟ้องร้องคดีมรดกซึ่งมีอายุความ 1 ปี แต่เป็นการดำเนินการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ซึ่งมีสิทธิทำได้ภายในกำหนด 10 ปี (ปัญหาข้อสุดท้ายนี้ วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2512)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๒ ภริยาโจทก์ที่ ๑ ได้รับมรดกที่ดินโฉนดที่ ๓๑๖๘ เฉพาะส่วนของนายมุดผู้ตาย โดยนายมุดทำพินัยกรรมยกให้ และได้จดทะเบียนโอนเป็นของโจทก์ที่ ๒ แล้ว ต่อมาปรากฏว่าที่ดินดังกล่าวถูกแก้ไขทางทะเบียนว่า โจทก์ที่ ๒ ขายส่วนของตนให้จำเลยที่ ๑ ตามคำสั่งศาล ซึ่งโจทก์ไม่รู้เห็นด้วย ทั้งนี้ โดยจำเลยที่ ๑ แจ้งต่อจำเลยที่ ๒, ๓ ว่า จำเลยที่ ๑ ซื้อที่ดินส่วนของนายมุดไว้ ต่อมานายมุดตาย โจทก์ที่ ๒ เป็นผู้รับมรดกนายมุด จำเลยที่ ๑ ได้ชำระราคาที่ดิน ๒๗,๕๐๐ บาทไว้ที่ศาลแพ่งแล้ว ขอให้จำเลยที่ ๓ โอนที่ดินของนายมุดให้จำเลยที่ ๑ ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งแดงที่ ๓๖๔๕/๒๕๐๕ จำเลยที่ ๓ จึงแก้ทะเบียนโอนที่ดินเป็นของจำเลยที่ ๑ การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อโจทก์ และคำพิพากษาดังกล่าวก็ไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก อนึ่งจำเลยที่ ๑ ก็ไม่วางเงินภายใน ๑๕ วันตามคำสั่งศาล และการขอแก้ไขทะเบียนเป็นเวลาเกิน ๑ ปี ขาดอายุความแล้ว ทั้งเมื่อโจทก์ที่ ๒ ร้องขอรับมรดก จำเลยที่ ๑ ก็ไม่คัดค้าน ถือว่าสละสิทธิแล้ว ขอให้บังคับจำเลยแก้ทะเบียนที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ที่ ๒ ตามเดิม ถ้าสภาพไม่เปิดช่องให้ทำได้ ให้ร่วมกันใช้เงิน ๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่า นายมุดขายที่ดินตามฟ้องให้จำเลยที่ ๑ แล้วผิดสัญญา จำเลยที่ ๑ จึงฟ้องและนายมุดทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล ยอมขายที่ดินให้จำเลยที่ ๑ แต่เรียกโฉนดจากเจ้าของร่วมมาโอนทางทะเบียนไม่ได้จนนายมุดตาย นายมุดเอาที่ดินไปทำพินัยกรรมยกให้โจทก์ที่ ๒ เป็นโมฆะ เป็นการฉ้อจำเลยที่ ๑ ผู้เป็นเจ้าหนี้ การกระทำของจำเลยชอบแล้ว
จำเลยที่ ๒,๓ ต่อสู้ว่า จดทะเบียนโอนที่ดินให้จำเลยที่ ๑ ตามคำสั่งศาลโดยชอบด้วยกฎหมาย
คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงบางประการ และอ้างเอกสารเป็นพยานแล้วศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน และพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า
๑. ที่ดินส่วนของนายมุดจดทะเบียนแก้โฉนดเป็นของโจทก์ที่ ๒ แล้ว จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้นายมุด ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับเอาแก่นายมุดเท่านั่น ไม่มีสิทธิบังคับเอาแก่ทรัพย์ เมื่อนายมุดตาย หน้าที่โอนที่ดินเป็นการเฉพาะตัวของนายมุดย่อมสิ้นไป โจทก์ที่ ๒ ไม่มีหน้าที่ต้องโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๑
๒. โจทก์มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องรับรู้สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างนายมุดกับจำเลยที่ ๑ และที่ดินโอนมาเป็นของโจทก์ที่ ๒ แล้ว จึงโอนที่ดินรายนี้ไปเป็นของจำเลยที่ ๑ ไม่ได้
๓. จำเลยที่ ๑ บังคับคดีเอาจากกองมรดกเกิน ๑ ปีนับแต่นายมุดตาย ขาดอายุความแล้ว
ข้อแรกศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หน้าที่นายมุดเจ้ามรดกซึ่งจะต้องโอนขายที่ดิน ของตนตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมให้แก่จำเลยที่ ๑ นั้น ตกเป็นกองมรดก เพราะการจัดการโอนที่ดินกฎหมายบัญญัติว่าเป็นการอันนายมุดต้องทำเองโดยเฉพาะ หรือโดยสภาพก็มิใช่กิจการอันเป็นการเฉพาะตัวของนายมุดโดยแท้ด้วย ดังนั้นจำเลยที่ ๑ จึงมีฐานะเป็นเจ้าหนี้กองมรดก มิสิทธิดำเนินการขอให้ศาลบังคับคดีเอาที่ดินของนายมุดชำระหนี้แก่ตนได้ตามคำพิพากษา
ข้อสองศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อนายมุดตาย จำเลยที่ ๑ ก็ได้ขอให้โจทก์ที่ ๒ รับมรดกความนายมุดด้วย หากแต่ศาลยอคำร้องเสีย โจทก์ที่ ๒ จึงขอรับโอนมรดกที่ดินนายมุดตามพินัยกรรม ที่ดินมรดกของนายมุดนั้นเป็นทรัพย์ซึ่งจะต้องโอนขายให้แก่จำเลยที่ ๑ ตามคำพิพากษาอยู่ก่อนนายมุดตาย ศาลย่อมมีอำนาจดำเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลได้จนเสร็จการ โจทก์ที่ ๒ จะถือเอาว่าที่ดินเป็นของตนหาชอบไม่ โดยเฉพาะคดีนี้ โจทก์ที่ ๒ ก็ได้รับโอนที่ดินมาทั้ง ๆ ที่รู้ว่าที่ดินนั้นจะต้องขายให้แก่จำเลยที่ ๑ ตามคำพิพากษาอยู่แล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่จำต้องฟ้องเรียกร้องจากโจทก์ที่ ๒ เป็นคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๓๘ ทั้งที่ดินรายนี้ก็เป็นมรดกที่ยังอยู่ในระหว่างจัดการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๓๖ คือ จำเลยที ๑ ซึ่งปรากฏตัวอยู่นี้ ยังมิได้รับชำระหนี้ จึงชอบที่จะดำเนินการบังคับดีตามคำพิพากษาตามยอมเอาจากกองมรดกของนายมุดได้โดยตรง
ฎีกาข้อสุดท้าย ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า การที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการบังคับดีเอาจากกองมรดก ไม่ใช่กรณีฟ้องร้องคดีมรดกซึ่งมีอายุความ ๑ ปี แต่เป็นการดำเนินการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๑ ซึ่งมีสิทธิทำได้ภายในระยะเวลา ๑๐ ปี
พิพากษายืน

Share