แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องว่ามีผู้ตั้งสมาคมปกปิดวิธีการ เพื่อการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ฯลฯ จำเลยรู้แล้วเข้าเป็นสมาชิกและอุดหนุนให้ที่พักอาศัยที่ประชุมชักชวนคนเข้าเป็นสมาชิก ให้เงินเสบียงอาหาร ฯลฯ โดยยืนยันซ้ำว่าเพื่อการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ไม่อ้างถึงอั้งยี่เลยแม้จะอ้าง มาตรา180 มาด้วย ก็ไม่เป็นฟ้องที่จะลงโทษตาม มาตรา180 ได้
ย่อยาว
คดีเรื่องนี้โจทก์ฟ้องกล่าวความว่า เมื่อระหว่างวันที่ 13 พฤศจิกายน 2495ถึงวันที่ 26 ธันวาคม 2496 ทั้งกลางวันและกลางคืนได้มีบุคคลคณะหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยคนต่างด้าวชาติจีนและอื่น ๆ ได้สมคบกันตั้งขึ้นเป็นสมาคมหรือองค์การอันปกปิดวิธีการ กระทำการให้ปรากฏแก่คนทั้งหลายด้วยวาจา ลายลักษณ์อักษร และเอกสารตีพิมพ์และสะสมกำลังเครื่องศาสตราวุธเพื่อกระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงประเพณีการเมือง และการเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยใช้กำลังบังคับหรือกระทำร้ายและเพื่อให้ราชอาณาจักร หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐอื่น และเพื่อให้เอกราชของประเทศไทยเสื่อมไปอันเป็นการที่มิชอบด้วยกฎหมาย และระหว่างวันเวลาดังกล่าว จำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นบุคคลสัญชาติไทย ได้ทราบความประสงค์ของบุคคลคณะนั้นแล้ว ได้บังอาจสมคบกันกระทำผิดกฎหมายหลายบทหลายกระทงต่างกรรมต่างวาระกันกล่าวคือ
(ก) จำเลยบังอาจสมคบกันเป็นสมาชิกขององค์การอันเป็นคอมมิวนิสต์และสมคบกันกระทำการอุดหนุนแก่องค์การ และสมาชิกขององค์การนั้นอันเป็นคอมมิวนิสต์ ด้วยการให้ที่พักอาศัยหรือที่ประชุมและชักชวนบุคคลอื่นให้เป็นสมาชิกหรือพรรคพวก และให้เงินให้เสบียงอาหารอันเป็นการอุปการแก่สมาคมหรือองค์การนั้น
(ข) จำเลยสมคบกันกระทำร้ายและขู่เข็ญว่า จะทำร้ายต่อร่างกายและทรัพย์สินและขู่เข็ญว่า จะหน่วงเหนี่ยวกักขังราษฎรอื่น ๆ หลายคนเพื่อให้ปฏิบัติตามคำสั่งและให้บริจาคเงิน และเสบียงอาหารช่วยเหลือองค์การหรือสมาคมดังกล่าวแล้วซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์
(ค) จำเลยรู้อยู่แล้วว่า มีหรือจะมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ดังกล่าวกลับบังอาจสมคบกันช่วยปกปิดไม่นำความมาแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง และการกระทำเป็นหูเป็นตาคอยสืบความเคลื่อนไหวของเจ้าพนักงานฝ่ายปราบปรามแล้วแจ้งให้องค์การหรือสมาชิกขององค์การนั้นเพื่อคอยหลบหลีกไม่ถูกจับกุม
เหตุทั้งนี้เกิดที่ตำบลสะเดา ตำบลสำนักแต้ว อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลาขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 104(1)(4), 105, 111, 177, 180, 63, 49 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. 2478 (ฉบับที่ 7) มาตรา 4 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2484 มาตรา 3 พระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2495 มาตรา 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. 2470 มาตรา 4
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ปฏิเสธข้อหา ต่อสู้ว่าได้ช่วยเหลือโจรจีนเป็นบางครั้ง เพราะกลัวโจรจีนฆ่า ทั้งนี้ด้วยความจำเป็นเพื่อป้องกันชีวิตซึ่งจำเลยไม่มีทางที่จะขอความช่วยเหลือจากใครคนแถวนั้นถูกฆ่าตายเพราะปฏิเสธการช่วยเหลือโจรจีนมากต่อมากแล้วไม่เคยรู้จักเรื่องคอมมิวนิสต์
จำเลยอีก 3 คนปฏิเสธข้อหา
ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 1, 2, 3, 4 ได้ให้ที่สำนักที่ประชุมแก่พวกโจรจีน อันเป็นการอุดหนุนแก่ซ่องโจรผู้ร้ายเท่านั้นไม่ได้ความเกี่ยวข้องเป็นคอมมิวนิสต์ด้วยประการใดจึงพิพากษาลงโทษจำเลยทั้ง 4 มีกำหนดคนละ 3 ปี ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 180, 63 ข้อหาอื่นโจทก์นำสืบไม่ได้ชัดแจ้งให้ยกเสียส่วนตัวจำเลยที่ 5 มิได้กระทำผิดให้ยกฟ้องของโจทก์
จำเลยที่ 1, 2, 3, 4 ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ต่อมา
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อหาอื่น ๆ ของโจทก์นั้นศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องไปสิ้นแล้ว และโจทก์มิได้ติดใจอุทธรณ์คัดค้าน ต้องถือว่าข้อหาเหล่านั้นไม่มีเหลืออยู่อีก คงเหลืออยู่แต่ปัญหาที่จำเลยทั้ง 4 อุทธรณ์ขึ้นมาว่า จะลงโทษจำเลยในฐานอุดหนุนพวกซ่องโจรผู้ร้ายตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 180ไม่ได้เพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องเช่นนั้น แล้ววินิจฉัยว่าตามฟ้องของโจทก์มุ่งไปแต่ในทางคอมมิวนิสต์เกือบทั้งสิ้น ที่ใกล้เคียงก็เป็นเรื่องอั้งยี่ตามมาตรา 177 และ 180 เท่านั้น มิได้มีคำบรรยายฟ้องในลักษณะของพวกซ่องโจรผู้ร้ายไว้ที่ใดเลย ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยมาในเรื่องนำการอุดหนุนพวกซ่องโจรผู้ร้าย เป็นการเกินคำขอ หรือที่มิได้กล่าวฟ้องและทั้งนอกความประสงค์ของโจทก์ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 อนึ่งยังเห็นต่อไปว่าแม้ในข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่า หมู่บ้านทั้ง 4 ที่พวกจำเลยอยู่ถูกพวกโจรเข้ายึดไว้ภายใต้อำนาจครอบครอง โดยฝ่ายปกครองของรัฐบาลช่วยเหลืออะไรไม่ได้คนอื่น ๆ ที่ไม่ช่วยเหลือพวกโจรเคยถูกพวกโจรฉุดคร่าเข้าป่าหายไปเลย ราว 50 รายแล้ว จำเลยจำเป็นต้องกระทำการทั้งนี้ ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่เกินไปกว่าสมควรแก่เหตุ ควรได้รับความยกเว้นโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 49 อีกโสดหนึ่งด้วย จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 และกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 49 ทั้งสองกรณี
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 180เพราะแม้ฟ้องโจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องในเรื่องซ่องโจรผู้ร้าย แต่ได้บรรยายถึงเรื่องอั้งยี่ไว้แล้ว จึงลงโทษตาม มาตรา 180 นี้ได้
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว
ปัญหาที่ว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายข้อความกล่าวหาจำเลยในความผิดฐานช่วยเหลืออุปการะ ให้ที่สำนักที่ประชุมแก่พวกอั้งยี่เพียงพอที่จะลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 180 ได้หรือไม่นั้น
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ฟ้องของโจทก์โดยละเอียดแล้ว เห็นว่าข้อความตามที่บรรยายในฟ้องของโจทก์มุ่งหมายหนักแน่นไปในความคิดฐานเป็นคอมมิวนิสต์ทั้งสิ้น แม้ข้อ 1 ตอนต้นอันเป็นข้อความที่เกริ่นถึงการกระทำทั่ว ๆ ไป จะได้กล่าวถึงสมาคมหรือองค์การอันปกปิดวิธีการก็ดี แต่ตอนต่อไปโจทก์ก็ยืนยันว่า การกระทำทั้งนี้เพื่อกระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์นั้นเอง ต่อมาถึงข้อ 1 (ก)(ข) และ (ค) ซึ่งเป็นข้อความที่กล่าวถึงการกระทำผิดของจำเลยโดยเฉพาะโจทก์ก็ยังยืนยันซ้ำอีกว่าเพื่อการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ทุกข้อมิได้มีข้อความตอนใดที่กล่าวอ้างถึงเรื่องอั้งยี่เลย จึงไม่มีทางที่จะลงโทษจำเลยตามมาตรา 180 ดังที่โจทก์ฎีกาขึ้นมานั้นได้
เหตุฉะนี้ ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในผลแห่งคำพิพากษาที่ให้ยกฟ้อง และให้ยกฎีกาของโจทก์