คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 926/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้รับมอบอำนาจตายก่อนจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ หนังสือมอบอำนาจย่อมระงับสิ้นไปหรือหมดสภาพไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 826 จำเลยร่วมซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินทราบแล้วว่าผู้มอบอำนาจตายแต่ยังดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินจนเสร็จสิ้น ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยร่วมเป็นการปฏิบัติราชการในหน้าที่ฝ่าฝืนกฎหมายเป็นการละเมิดต่อโจทก์ เมื่อจำเลยร่วมเป็นข้าราชการในสังกัดของกรมที่ดินจำเลยที่ 1 ทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 1 ย่อมต้องร่วมรับผิดด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76
กรมที่ดินย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนและแก้ไขรายการจดทะเบียนที่ดินและโฉนดที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และแบ่งแยกโฉนดโดยมิชอบ โดยอาศัยหนังสือมอบอำนาจที่ระงับสิ้นไปแล้วเพราะผู้มอบอำนาจตายได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61
แม้จำเลยที่ 3 จะซื้อที่พิพาทมาโดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันทางทะเบียนและเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตก็ตาม แต่โจทก์ก็รับซื้อทรัพย์สินดังกล่าวไว้จากจำเลยที่ 3 โดยสุจริตเช่นกัน เมื่อกรมที่ดินสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนที่พิพาทและโฉนดที่พิพาท เป็นเหตุให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นกลับคืนไปยังเจ้าของที่แท้จริงกรณีเช่นนี้ถือว่า โจทก์ถูกรอนสิทธิ์ จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 479.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๑ ออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๓๕๙ ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย เนื้อที่ ๘๖ ๔/๑๐ ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ ๒ ต่อมาจำเลยที่ ๒ ขายที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๓ ขายให้แก่โจทก์ในราคา ๒๖๐,๐๐๐ บาท จดทะเบียนโอนกัน ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย ต่อมาจำเลยที่ ๑ สั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวและรายการจดทะเบียนทุกรายการตลอดจนเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด คำสั่งของจำเลยที่ ๑ เป็นคำสั่งไม่ชอบทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันกระทำให้โจทก์หลงผิดซื้อทรัพย์ดังกล่าวเป็นเงิน ๒๖๐,๐๐๐ บาท ทำให้โจทก์ขาดรายได้จากเงินดังกล่าวเป็นเงิน๒๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ หรือมิฉะนั้นให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินรวม ๔๖๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โฉนดที่ดินเลขที่ ๕๓๕๙ เป็นโฉนดที่ดินที่แยกมาจากโฉนดที่ดินเลขที่ ๙๔ ซึ่งรายการจดทะเบียนประเภทให้เฉพาะส่วนผิดพลาดเนื่องจากผู้รับโอนมิได้มีสิทธิรับโอนตามกฎหมาย เป็นเหตุให้ผู้รับโอนต่อมาไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามรายการจดทะเบียน จำเลยที่ ๑ จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนและแก้ไขรายการจดทะเบียนให้ถูกต้องตามความจริง จำเลยที่ ๑ มิได้ร่วมกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ทำให้โจทก์หลงผิดในการซื้อที่ดินตามฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๓ ให้การว่าซื้อทรัพย์โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนจำเลยที่ ๓ มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหายจำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทและรายการจดทะเบียน เพราะการออกโฉนดเป็นไปโดยชอบและถูกต้องตามกฎหมาย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ
จำเลยที่ ๑ ขอให้เรียกนายบุญเลิศเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๓) (ก) ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ความเสียหายเกิดจากจำเลยที่ ๑ กับพวกกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยร่วมไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว จำเลยที่ ๑ ออกคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินและรายการจดทะเบียนเพราะขาดความรอบคอบ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ชอบด้วยกฎหมายให้จำเลยที่ ๓ ชำระค่าที่ดิน ๒๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๓๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒
โจทก์ จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ และจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นายคำปัน นางฟองแก้ว เป็นสามีภริยากันและเป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๔ ที่พิพาทตามโฉนดเลขที่ ๕๓๕๙ พร้อมตึกแถว แยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๔ นางฟองแก้วตายก่อนนายคำปัน นายคำปันทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่วัดมุงเมือง ภายหลังจากนายคำปันตายแล้ว ทายาทของนางฟองแก้ว ที่มีสิทธิรับมรดกคงมีแต่นายบุญทา ซึ่งเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน นายม้วนผู้จัดการมรดกของนายคำปัน จะไปจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๔ ให้แก่วัดมุงเมือง แต่เจ้าพนักงานที่ดินทำนิติกรรมให้ไม่ได้ เพราะมีชื่อนางฟองแก้วถือกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วย คณะกรรมการวัดมุงเมืองกับนายบุญทาตกลงกันว่า ให้นายบุญทายกที่ดินส่วนของนางฟองแก้วให้แก่วัดมุงเมือง แล้ววัดมุงเมืองจะยกที่นาให้แก่นายบุญทา นายบุญทาทำหนังสือมอบอำนาจให้นายทวีไปจดทะเบียนโอนที่ดินตามข้อตกลง แต่นายบุญทาถึงแก่กรรมเสียก่อนเจ้าพนักงานที่ดินใช้ใบมอบอำนาจดังกล่าวจดทะเบียนโอนทรัพย์มรดกเฉพาะส่วนของนางฟองแก้ว และในเวลาต่อมาได้โอนทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ โอนขายให้แก่จำเลยที่ ๓ แล้วจำเลยที่ ๓ ขายต่อให้โจทก์ต่อมาจำเลยที่ ๑ ตั้งกรรมการสอบสวนและมีคำสั่งเพิกถอนและแก้ไขรายการจดทะเบียนที่ดินและโฉนดที่ดินเฉพาะส่วนของนายบุญทา ที่รับมรดกจากนางฟองแก้วเป็นต้นไปในที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๔ กับให้เพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทเลขที่ ๕๓๕๙
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยร่วมรู้อยู่แล้วว่านายบุญทาผู้มอบอำนาจตายก่อนจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์หนังสือมอบอำนาจย่อมระงับสิ้นไปหรือหมดสภาพไปตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๖ แต่จำเลยร่วมก็ยังดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์จนเสร็จสิ้น เห็นว่า จำเลยร่วมได้กระทำหรือปฏิบัติราชการในหน้าที่และความรับผิดชอบของตนบกพร่องฝ่าฝืนกฎหมายดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นที่เสียหายแก่โจทก์ ถือได้ว่า เป็นผู้ทำละเมิดต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น ส่วนจำเลยที่ ๑ นั้น เมื่อจำเลยร่วมเป็นเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดจำเลยที่ ๑ได้ทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายจำเลยที่ ๑ ย่อมต้องร่วมรับผิดด้วยตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๖
ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๓๔ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ ข้อ ๗ ให้อำนาจจำเลยที่๑ สั่งเพิกถอนและแก้ไขรายการจดทะเบียนที่ดินและโฉนดที่ดินได้หากปรากฏว่า ได้กระทำไปโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ในสังกัดจำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนโอนมรดกรายนายบุญทาซึ่งรับมรดกจากนางฟองแก้วในที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๔ คลาดเคลื่อน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากนายทวี ผู้รับมอบอำนาจจากนายบุญทา ได้นำหนังสือมอบอำนาจมาดำเนินการจดทะเบียนรับโอนมรดกเมื่อหนังสือมอบอำนาจได้ระงับสิ้นไป หรือหมดสภาพไปแล้ว เพราะนายบุญทาได้ถึงแก่กรรมไปก่อนที่จะมีการจดทะเบียนตามหนังสือมอบอำนาจนั้น และโฉนดที่พิพาทเป็นโฉนดที่แบ่งแยกมาจากรายการจดทะเบียนที่ไม่ชอบดังกล่าว โฉนดที่พิพาทจึงออกคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง จำเลยที่ ๑ ย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนและแก้ไขรายการจดทะเบียนที่ดินและโฉนดที่ดินได้และเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
ฎีกาข้อสุดท้ายในปัญหาเรื่องจำเลยที่ ๓ จะต้องรับผิดเพราะเหตุแห่งการรอนสิทธิหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๓ จะได้ซื้อที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันทางทะเบียนและเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต แต่คดีได้ความว่า โจทก์รับซื้อทรัพย์สินดังกล่าวไว้โดยสุจริตเช่นกันเมื่อจำเลยที่ ๑ สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนที่พิพาทและโฉนดที่พิพาทเป็นเหตุให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นกลับคืนไปยังเจ้าของที่แท้จริง กรณีเช่นนี้ ต้องถือว่า โจทก์ถูกรอนสิทธิ์ ซึ่งจำเลยที่ ๓ จะต้องรับผิดในผลแห่งการรอนสิทธิ์นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๗๙
พิพากษายืน.

Share