คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2356/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขุดทรายในแม่น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการทำลายหรือทำให้เสื่อมสภาพที่ทรายอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน และรถยนต์ที่จำเลยใช้บรรทุกทรายซึ่งขุดได้จากแม่น้ำ ถือว่าเป็นยานพาหนะที่ได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคท้าย จึงต้องริบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำการจ้างขุดทรายในแม่น้ำเลย อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทประชาชนใช้ร่วมกันและเป็นบริเวณที่หวงห้ามเป็นการทำลาย ทำให้เสื่อมสภาพ และทำให้เป็นอันตรายแก่แม่น้ำ ที่ดิน ที่หิน ที่กรวด หรือที่ทรายอันเป็นทรัพยากรในที่ดิน โดยจำเลยไม่มีสิทธิครอบครองและมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙, ๑๐๘, ๑๐๘ ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๙๖ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ ข้อ ๑๑ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ ริบรถยนต์และพลั่วของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก ๑๕ วัน ปรับ ๕๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอไว้ ๒ ปี รถยนต์ของกลางไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ให้คืนเจ้าของของกลางนอกนั้นริบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ริบรถยนต์ของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำฟ้องของโจทก์และคำรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยทำการจ้างขุดทรายในแม่น้ำเลย อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทประชาชนใช้ร่วมกัน และจำเลยใช้รถยนต์ของกลางบรรทุกทรายที่จำเลยขุดได้ มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่ารถยนต์ของกลาง จำเลยได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า รถยนต์ของกลางจำเลยใช้บรรทุกทรายที่จำเลยขุดได้จากแม่น้ำเลย อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การขุดทรายเป็นการทำลายหรือทำให้เสื่อมสภาพที่ทรายตามประกาศกระทรวงมหาดไทยท้ายฟ้อง ถือได้ว่ารถยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะที่ได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๑๐๘ ทวิ วรรคท้าย ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๙๖ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ ข้อ ๑๑ จึงต้องริบรถยนต์บรรทุกของกลาง
พิพากษายืน.

Share