คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9253/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำให้การของจำเลยทั้งสามเป็นการให้การปฏิเสธคำฟ้องของโจทก์โดยมีเหตุแห่งการปฏิเสธว่าข้อถือสิทธิในลักษณะพิเศษตามอนุสิทธิบัตรของโจทก์ไม่สมบูรณ์เพราะมีงานที่ปรากฏอยู่แล้ว ซึ่งสิ่งที่เป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้วคือสิ่งใดนั้นเป็นข้อเท็จจริงอันสำคัญในการใช้เปรียบเทียบกับการประดิษฐ์ตามข้อถือสิทธิของโจทก์ว่าต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร เพื่อจะได้วินิจฉัยว่าการประดิษฐ์ตามอนุสิทธิบัตรของโจทก์เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่หรือไม่ จึงเป็นข้อเท็จจริงสำคัญที่ต้องระบุไว้ในคำให้การโดยชัดแจ้ง จึงถือว่ามีงานที่ปรากฏอยู่แล้วเท่าที่จำเลยทั้งสามให้การระบุไว้ในคำให้การของจำเลยทั้งสามเท่านั้นที่ถือว่าจำเลยทั้งสามมีสิทธินำสืบตามข้ออ้างของตน ส่วนคำให้การปฏิเสธในเรื่องงานที่ปรากฏอยู่แล้วก่อนโจทก์ขอรับอนุสิทธิบัตรที่ไม่ระบุว่าเป็นงานใดนั้น เป็นคำให้การที่ไม่แสดงเหตุผลแห่งการปฏิเสธ จึงไม่มีประเด็นที่จำเลยทั้งสามจะนำสืบถึงงานที่ปรากฏอยู่แล้วนอกเหนือจากที่จำเลยทั้งสามได้ระบุไว้ในคำให้การของจำเลยทั้งสามโดยชัดแจ้งข้างต้น

ย่อยาว

คดีนี้เดิมศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันกับคดีหมายเลขแดงที่ ทป.68/2556 ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง โดยเรียกจำเลยในคดีดังกล่าวซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนี้ว่า จำเลย เรียกโจทก์ในคดีดังกล่าวซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีนี้ว่า โจทก์ที่ 3 และเรียกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีนี้ว่า โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ตามลำดับ แต่คดีหมายเลขแดงที่ ทป.68/2556 คู่ความไม่อุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายรายปี จำนวนปีละ 3,000,000 บาทนับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2548 จนถึงวันฟ้อง เป็นระยะเวลา 7 ปี รวมจำนวน 21,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น กับให้จำเลยทั้งสามหยุดการผลิต ลอกหรือเลียนแบบ ขายและมีไว้เพื่อขายซึ่งผลิตภัณฑ์รถย่อยเศษกิ่งไม้ตามอนุสิทธิบัตรการประดิษฐ์รถย่อยเศษกิ่งไม้ในลักษณะพิเศษของโจทก์
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความทั้งสองฝ่ายให้ตกเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันชั้นอุทธรณ์รับฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 โจทก์ยื่นคำขอรับอนุสิทธิบัตรเลขที่ 0303001133 สำหรับการประดิษฐ์ รถย่อยเศษกิ่งไม้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาออกอนุสิทธิบัตรให้เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2548 ตามอนุสิทธิบัตรเลขที่ 1651 ข้อถือสิทธิในส่วนที่กล่าวถึงลักษณะพิเศษของการประดิษฐ์นี้คือ ที่แนวขอบด้านข้างด้านหนึ่งของร่องปลายเปิดจะถูกตัดเฉือนออกให้เป็นคมแหลมและที่ด้านข้างอีกด้านหนึ่งของร่องปลายเปิดจะถูกตัดเนื้อบางส่วนออกเพื่อให้เกิดเป็นที่วางใบมีดสำหรับใช้ติดตั้งแผ่นใบมีด ซึ่งที่วางใบมีดจะถูกตัดผิวออกโดยจะมีลักษณะลาดลงมาจากส่วนแนวขอบของปลายเปิดมายังบริเวณด้านในของแป้นใบมีด เพื่อให้ส่วนปลายคมของแผ่นใบมีดที่จะนำมาวางลงบนที่วางใบมีดจะถูกให้ยกตัวขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนจำเลยที่ 3 ซึ่งใช้ชื่อสกุลเดิมว่านายนิพันธ์ ยื่นคำขอรับอนุสิทธิบัตรเลขที่ 0303001134 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 สำหรับการประดิษฐ์รถย่อยเศษกิ่งไม้และพืชต่าง ๆ กรมทรัพย์สินทางปัญญาออกอนุสิทธิบัตรให้เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2548 ตามอนุสิทธิบัตรเลขที่ 1634 ข้อถือสิทธิในส่วนที่กล่าวถึงลักษณะพิเศษของการประดิษฐ์นี้ คือ ชุดใบมีดประกอบด้วยแป้นใบมีดจำนวน 2 แผ่น ที่วางตัวในแนวขนานกัน ซึ่งที่ด้านนอกของแป้นใบมีดทั้งสองข้างจะมีที่วางใบมีดที่มีแผ่นใบมีดเฉือนติดตั้งด้วยวิถีทางการยึด ที่ซึ่งระหว่างแป้นใบมีดจะเป็นแกนยึดใบมีดจำนวนหนึ่งที่มีแผ่นใบมีดจำนวนหนึ่งติดตั้งอยู่ในลักษณะที่สามารถโยกตัวไป-มาได้ และที่ด้านหลังของแกนยึดใบมีดแต่ละแกนจะเป็นแกนโลหะที่ถูกยึดอยู่ระหว่างแป้นใบมีดทั้งสองข้าง โดยแกนโลหะจะเป็นตัวที่จะช่วยให้แผ่นใบมีดที่ติดตั้งอยู่ในแกนยึดใบมีดให้เคลื่อนที่กลับไป-กลับมา เมื่อชุดใบมีดหมุนจากการขับเคลื่อนของวิถีทางส่งกำลัง เมื่อโจทก์ได้รับอนุสิทธิบัตรเลขที่ 1651 แล้ว โจทก์ผลิตรถย่อยเศษกิ่งไม้ออกจำหน่ายตามภาพถ่ายในแผ่นโฆษณาสินค้า
มีปัญหาที่สมควรยกขึ้นวินิจฉัยเป็นประการแรกตามคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามว่า ข้อถือสิทธิในลักษณะพิเศษตามอนุสิทธิบัตรเลขที่ 1651 ของโจทก์เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่หรือไม่ ปัญหานี้จำเลยทั้งสามให้การโดยอ้างอิงคำฟ้องของโจทก์ที่ 3 ในคดีหมายเลขดำที่ ทป.89/2554 หมายเลขแดงที่ ทป.68/2556 ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ซึ่งจำเลยที่ 3 คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนอนุสิทธิบัตรเลขที่ 1651 ของโจทก์คดีนี้ และศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาพิพากษารวมกับคดีนี้โดยสรุปความได้ว่า จำเลยทั้งสามคดีนี้ให้การว่า ข้อถือสิทธิในลักษณะพิเศษตามอนุสิทธิบัตรของโจทก์ไม่สมบูรณ์เพราะไม่ใช่การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เนื่องจากจำเลยทั้งสามผลิตผลิตภัณฑ์ออกจำหน่ายโดยมีลักษณะการวางใบมีดเหมือนกับข้อถือสิทธิตามอนุสิทธิบัตรของโจทก์มานานก่อนที่โจทก์ยื่นคำขอรับสิทธิบัตร และข้อถือสิทธิในลักษณะพิเศษตามอนุสิทธิบัตรของโจทก์ดังกล่าวก็มีการเผยแพร่ในหนังสือทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษมาก่อนโจทก์ขอรับอนุสิทธิบัตร รายละเอียดปรากฏตามหนังสือที่เรียบเรียงโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์อำไพ และหนังสือการใช้ประโยชน์ของไม้สนในป่าทางภาคใต้ (ของสหรัฐอเมริกา) (UTILIZATION OF THE SOUTHERN PINES) เขียนโดยนายปีเตอร์ เอกสารท้ายคำฟ้องของโจทก์ (จำเลยคดีนี้) ในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ ทป.68/2556 ดังกล่าวแล้ว ถือได้ว่าคำให้การของจำเลยทั้งสามคดีนี้ให้การปฏิเสธคำฟ้องของโจทก์โดยมีเหตุแห่งการปฏิเสธว่าข้อถือสิทธิในลักษณะพิเศษตามอนุสิทธิบัตรของโจทก์ไม่สมบูรณ์เพราะมีงานที่ปรากฏอยู่แล้ว ซึ่งสิ่งที่เป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้วคือสิ่งใดนั้นเป็นข้อเท็จจริงอันสำคัญในการใช้เปรียบเทียบกับการประดิษฐ์ตามข้อถือสิทธิของโจทก์ว่าต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร เพื่อจะได้วินิจฉัยว่าการประดิษฐ์ตามอนุสิทธิบัตรของโจทก์เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่หรือไม่ จึงเป็นข้อเท็จจริงสำคัญที่ต้องระบุไว้ในคำให้การโดยชัดแจ้ง จึงถือว่ามีงานที่ปรากฏอยู่แล้วเท่าที่จำเลยทั้งสามให้การระบุไว้ดังกล่าวข้างต้นเท่านั้นที่ถือว่าจำเลยทั้งสามมีสิทธินำสืบตามข้ออ้างดังกล่าว ส่วนคำให้การปฏิเสธในเรื่องงานที่ปรากฏอยู่ก่อนโจทก์ขอรับอนุสิทธิบัตรที่ไม่ระบุว่าเป็นงานใดนั้น เป็นคำให้การที่ไม่แสดงเหตุผลแห่งการปฏิเสธ จึงไม่มีประเด็นที่จำเลยทั้งสามจะนำสืบถึงงานที่ปรากฏอยู่แล้วนอกเหนือจากที่จำเลยทั้งสามให้การระบุไว้ในคำให้การดังกล่าวข้างต้น ซึ่งตามประเด็นเกี่ยวกับงานที่ปรากฏอยู่ก่อนโจทก์ยื่นคำขอรับอนุสิทธิบัตรตามที่จำเลยทั้งสามให้การไว้ดังกล่าวนั้น โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของพยานว่า ข้อถือสิทธิในลักษณะพิเศษตามอนุสิทธิบัตรของโจทก์เป็นการประดิษฐ์ที่โจทก์พัฒนาขึ้นมาและไม่เคยมีมาก่อน ส่วนจำเลยทั้งสามนำสืบโดยจำเลยที่ 3 อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของพยานว่า รถสับย่อยกิ่งไม้และพืชต่าง ๆ ของจำเลยทั้งสามมีการผลิตออกจำหน่ายเผยแพร่โดยทั่วไปมาก่อนแล้วเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีรายละเอียดและพยานหลักฐานที่เป็นรถสับย่อยกิ่งไม้และพืชต่าง ๆ ดังกล่าวหรือเอกสารอื่นใดมาแสดงให้เห็นว่ามีการผลิตมาก่อนเช่นนั้นจริง นอกจากนี้จำเลยทั้งสามก็มีเพียงนายโอฬาร พยานจำเลยทั้งสามมาเบิกความเป็นพยานทำนองว่า พยานเคยเห็นเครื่องของฝ่ายจำเลยตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งก็เป็นคำเบิกความลอย ๆ เช่นกัน โดยไม่มีรายละเอียดให้เห็นว่า พยานมีโอกาสเห็นการประดิษฐ์เกี่ยวกับการวางใบมีดในเครื่องของฝ่ายจำเลยอย่างใด ทั้งพยานปากนี้ยังเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า ใบมีดตามเอกสาร ซึ่งเป็นเอกสารที่มีทั้งข้อความและภาพเปรียบเทียบจานยึดใบมีดตามข้อถือสิทธิในอนุสิทธิบัตรของโจทก์ว่าจะเป็นการลอกเลียนอนุสิทธิบัตรของโจทก์หรือไม่อย่างไร พยานไม่ทราบ เห็นได้ว่า พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสามในข้อนี้เลื่อนลอย ปราศจากรายละเอียดและเหตุผล ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามผลิตรถสับย่อยกิ่งไม้และพืชต่าง ๆ และมีการวางใบมีดตามที่โจทก์ขอถือสิทธิในอนุสิทธิบัตรของโจทก์มาก่อนโจทก์ยื่นขอรับอนุสิทธิบัตร ทั้งในชั้นพิจารณาจำเลยทั้งสามก็ไม่ได้นำสืบหนังสือของผู้ช่วยศาสตราจารย์อำไพ ส่วนที่นำสืบถึงหนังสือการใช้ประโยชน์ของไม้สนในป่าทางภาคใต้ (ของสหรัฐอเมริกา) เขียนโดยนายปีเตอร์ ก็ไม่ปรากฏชัดถึงการวางใบมีดตามข้อถือสิทธิในอนุสิทธิบัตรของโจทก์ พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสามดังกล่าวยังไม่ได้แสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงว่าข้อถือสิทธิเกี่ยวกับการวางใบมีดตามอนุสิทธิบัตรของโจทก์เป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้วก่อนโจทก์ยื่นคำขอรับอนุสิทธิบัตร และในส่วนเอกสารทางวิชาการ จัดทำโดยจิม และวัตถุพยานตามภาพถ่าย ก็ล้วนเป็นพยานหลักฐานนอกเหนือจากที่จำเลยทั้งสามให้การถึงซึ่งจำเลยทั้งสามไม่มีสิทธินำสืบเอกสารและวัตถุพยานดังกล่าว ดังนี้ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสาม ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่าข้อถือสิทธิเกี่ยวกับการวางใบมีดตามอนุสิทธิบัตรของโจทก์ไม่ใช่การประดิษฐ์ขึ้นใหม่เพราะเป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้วก่อนวันที่โจทก์ยื่นคำขอรับอนุสิทธิบัตร อนุสิทธิบัตรของโจทก์จึงยังคงสมบูรณ์อยู่ในขณะที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสามกระทำละเมิดอนุสิทธิบัตรของโจทก์ดังกล่าว โจทก์ย่อมมีสิทธิแต่ผู้เดียวในการผลิต ใช้ ขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขาย หรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ตามอนุสิทธิบัตรตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 65 ทศ ประกอบมาตรา 36 (1)
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2555 อันเป็นวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

Share