คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9070/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยผู้รับประกันภัยได้จำกัดความรับผิดในกรณีอุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ไว้ไม่เกิน 300,000 บาท ต่อ 1 คน และในกรณีถูกฆาตกรรมหรือถูกทำร้ายร่างกายไว้ไม่เกิน 500,000 บาทต่อ 1 คน ทั้งนี้โดยไม่คำนึงว่าผู้เอาประกันภัยจะเอาประกันภัยไว้เป็นจำนวนเงินหรือมีทุนประกันเท่าใด ดังนั้น แม้ผู้เอาประกันภัยจะใช้สิทธิเลือกซื้อสัญญาประกันภัยเช่นนี้ไว้กี่ครั้งก็ตาม หากเป็นผู้เอาประกันภัยรายเดียวกันแล้ว ก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งเงื่อนไขข้อจำกัดความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว คดีนี้ ล. ทำสัญญาประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลไว้ต่อจำเลย 2 ครั้ง ครั้งแรก จำนวนเงินเอาประกันภัย 300,000 บาทระบุให้ ม. และ ศ. เป็นผู้รับประโยชน์ ครั้งที่สองจำนวนเงินเอาประกันภัย 500,000 บาท ระบุให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ ดังนั้น จำเลยผู้รับประกันภัยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อจำกัดความรับผิดตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว กล่าวคือ ต้องนำจำนวนเงินเอาประกันภัยหรือทุนประกันตามสัญญาทั้งสองฉบับมารวมกันถือเป็นจำนวนเงินที่ผู้เอาประกันภัยไว้ทั้งสิ้น เมื่อรวมแล้วเป็นจำนวนเงินเอาประกันภัยเกินกว่า500,000 บาท จำเลยจึงคงต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ผู้รับประโยชน์ทั้งสองสัญญารวมกันเพียง 500,000 บาทเมื่อทั้งสองสัญญามีจำนวนเงินเอาประกันภัยจำนวน 300,000 บาทและ 500,000 บาท จึงต้องเฉลี่ยการได้รับค่าสินไหมทดแทนกันตามอัตราส่วนดังกล่าว ฉะนั้น โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนเพียงจำนวน 312,500 บาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายลาภบิดาโจทก์ได้ทำประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลไว้กับจำเลย 2 ครั้ง ระบุให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ต่อมานายลาภถูกคนร้ายยิงตาย โจทก์ขอรับประโยชน์ตามกรมธรรม์แต่พนักงานของจำเลยแจ้งว่าต้องให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งนายประพันธ์เป็นผู้ปกครอง และทำนิติกรรมแทนโจทก์เสียก่อนจำเลยจึงจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ เมื่อมารดาโจทก์ดำเนินการแล้วโจทก์ได้ติดต่อขอรับประโยชน์อีก จำเลยก็ยังไม่ชำระให้ โจทก์จึงได้ร้องเรียนไปยังอธิบดีกรมการประกันภัย กรมการประกันภัยสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์แต่จำเลยก็เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน 565,625 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า นายลาภทำประกันภัยอุบัติเหตุกับจำเลย2 ครั้ง ทุนประกันภัย 300,000 บาท และ 500,000 บาท ซึ่งตามกรมธรรม์ประกันภัยได้ระบุความคุ้มครองพิเศษกรณีการถูกฆาตกรรมบริษัทรับผิดชอบจำกัดไม่เกิน 500,000 บาท ต่อ 1 คน ด้วยเงื่อนไขพิเศษนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิรับเงินตามจำนวนที่นายลาภทำประกันภัยคงมีสิทธิได้รับเพียง 500,000 บาท ซึ่งจำเลยต้องจ่ายให้นางสาวมัทนา และนายศรายุทธ ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ฉบับแรก 300,000 บาท เหลืออีก 200,000 บาท จำเลยได้ติดต่อให้โจทก์ไปรับแต่โจทก์ไม่ยอมรับ จำเลยไม่ใช่ผู้ผิดสัญญาขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 500,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2533เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามข้อสัญญาทั้งสองฉบับจำนวนเท่าใดเห็นว่า ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย ล.1 ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิทำประกันไว้ในข้อสาระสำคัญข้อหนึ่งว่า ต้องเป็นบุคคลธรรมดาที่เปิดบัญชีเงินฝากประจำเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากเพื่ออนาคต ของธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาใดก็ได้และมีเงื่อนไขเกี่ยวกับจำนวนเงินเอาประกันภัยหรือทุนประกันไว้ว่าผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกซื้อจำนวนเงินเอาประกันภัยหรือทุนประกันภัย ตามตารางยอดเงินฝากในบัญชีธนาคารหรือเลือกซื้อต่ำกว่าก็ได้ แต่ละซื้อสูงกว่าตารางยอดเงินฝากในบัญชีไม่ได้สำหรับขอบข่ายของความคุ้มครองในกรณีเสียชีวิตนั้น โดยปกติก็ให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุทุกชนิดและจ่ายเงินค่าทดแทนเต็ม100 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนเงินเอาประกันภัย แต่มีข้อจำกัดความรับผิดไว้ว่า หากความสูญเสียโดยอุบัติเหตุเกิดขึ้นในขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ก็คุ้มครองได้ตามจำนวนเงินที่เอาประกันภัยไว้ แต่ไม่เกิน 300,000 บาท ต่อ 1 คน และกรณีการฆาตกรรมหรือถูกทำร้ายร่างกายก็คุ้มครองให้ตามจำนวนเงินที่เอาประกันภัยไว้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ต่อ 1 คน ส่วนในเรื่องทุนประกันและเบี้ยประกันได้กำหนดอัตราไว้
ตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย ล.1 ดังกล่าวย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยผู้รับประกันภัยได้จำกัดความรับผิดในกรณีอุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ไว้ไม่เกิน300,000 บาท ต่อ 1 คน และในกรณีถูกฆาตกรรมหรือถูกทำร้ายร่างกายไว้ไม่เกิน 500,000 บาท ต่อ 1 คน ทั้งนี้โดยไม่คำนึงว่าผู้เอาประกันภัยจะเอาประกันภัยไว้เป็นจำนวนเงินหรือมีทุนประกันเท่าใด ตามที่ระบุไว้ในตารางทุนประกันภัยและเบี้ยประกันดังกล่าวเมื่อข้อตกลงอันเป็นเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย ล.1เป็นเช่นนี้ แม้ผู้เอาประกันภัยจะใช้สิทธิเลือกซื้อสัญญาประกันภัยเช่นนี้ไว้กี่ครั้งก็ตาม หากเป็นผู้เอาประกันภัยรายเดียวกันแล้วก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งเงื่อนไขข้อจำกัดความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย ล.1 ดังกล่าวมาข้างต้นทั้งสิ้นคดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติโดยคู่ความมิได้โต้แย้งกันว่านายลาภ ยอดม่วง ทำสัญญาประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลไว้ต่อจำเลย 2 ครั้ง ตามใบรับรองประกันภัยอุบัติเหตุเหตุส่วนบุคคลเลขที่ 90/000428 บี 662 สาขาบางสะพาน ลงวันที่ 31ธันวาคม 2532 จำนวนเงินเอาประกันภัย 300,000 บาท ระบุให้นางสาวมัทนา ยอดม่วง และนายศรายุทธ ยอดม่วง เป็นผู้รับประโยชน์และตามใบรับรองประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลเลขที่ 90/004624 บี 666สาขาบางสะพาน ลงวันที่ 12 มีนาคม 2533 จำนวนเงินเอาประกันภัย500,000 บาท ระบุให้โจทก์เป็นผู้รับผลประโยชน์ ดังนั้น จำเลยผู้รับประกันภัยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อจำกัดความรับผิดตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย ล.1 กล่าวคือต้องนำจำนวนเงินเอาประกันหรือทุนประกันตามสัญญาทั้งสองฉบับมารวมกันถือเป็นจำนวนเงินที่ผู้เอาประกันภัยได้ประกันภัยไว้ทั้งสิ้นเมื่อรวมแล้วเป็นจำนวนเงินเอาประกันภัยเกินกว่า 500,000 บาทจำเลยจึงคงต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ผู้รับประโยชน์ทั้งสองสัญญารวมกันเพียง 500,000 บาท เมื่อทั้งสองสัญญามีจำนวนเงินเอาประกันภัยจำนวน 300,000 บาท และ 500,000 บาท จึงต้องเฉลี่ยการได้รับค่าสินไหมทดแทนกันตามอัตราส่วนดังกล่าว ฉะนั้นโจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนเพียงจำนวน 312,500 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 312,500 บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share