แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ไม่ได้มีส่วนได้เสียในที่ดินที่จำเลยกับบุคคลอื่นพิพาทกัน การที่โจทก์ได้ค่าจ้างว่าความเป็นที่ดิน200 ตารางวา อันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่จำเลยพิพาทกับบุคคลอื่นทำให้โจทก์เข้าไปมีส่วนได้เสียในที่ดิน ดังกล่าวโดยตรง เพราะหากจำเลยแพ้คดีโจทก์จะไม่ได้ค่าจ้างว่าความ ซึ่งแสดงว่าสัญญาจ้างว่าความมีลักษณะเป็นการรับโอนสิทธิ ในการดำเนินคดีของจำเลยมาจัดการให้ โดยขอรับส่วนแบ่ง จากที่ดินเป็นค่าตอบแทนเมื่อจำเลยชนะคดี อันเป็นการ ช่วยเหลือยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นเป็นความกัน วัตถุประสงค์ ของสัญญาจ้างว่าความจึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ของประชาชนย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150 โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาจ้างว่าความไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความฟ้องเทศบาลเมืองระยองโดยทำสัญญาจ้างว่าความตกลงค่าจ้างว่าความเป็นที่ดินบางส่วนของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 618 เนื้อที่ 200 ตารางวา โจทก์ดำเนินการว่าความให้จำเลยเสร็จแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์ ขอให้จำเลยโอนที่ดิน 200 ตารางวา ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)แก่โจทก์ หากจำเลยไม่แบ่งแยกโอนให้ ให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ค่าจ้างว่าความตามที่ตกลงกันเป็นการเรียกค่าจ้างว่าความเอาจากส่วนแบ่งที่ดินแปลงที่เป็นมูลพิพาทเป็นสัญญาที่ขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความจึงเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกและส่งมอบที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 618หมู่ที่ 2 ตำบลเชิงเนิน อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยองให้แก่โจทก์ 200 ตารางวา ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้จำเลยใส่ชื่อโจทก์ถือสิทธิร่วมในที่ดินดังกล่าวเนื้อที่ 200 ตารางวา จำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยชั้นนี้เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยเท่านั้นว่า สัญญาจ้างว่าความตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นโมฆะหรือไม่ เห็นว่า แม้ทางพิจารณาได้ความว่า การที่โจทก์เรียกค่าจ้างว่าความจากจำเลยโดยใช้วิธีแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้จากคู่ความนั้นไม่เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 และข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมารยาท ทนายความ พ.ศ. 2529 ที่จะทำให้สัญญาจ้างว่าความตามเอกสารหมาย จ.2 ตกเป็นโมฆะดังเช่นที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยก็ตาม แต่นิติกรรมที่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 นั้นนอกจากเป็นกรณีที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือเป็นการพ้นวิสัยแล้ว ยังมีกรณีที่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอีกด้วยซึ่งหมายความว่า แม้การกระทำนั้นจะไม่เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เลย แต่ถ้าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแล้ว นิติกรรมนั้นก็ย่อมตกเป็นโมฆะเช่นกัน เมื่อพิจารณาสัญญาจ้างว่าความตามเอกสารหมาย จ.2แล้ว พึงเห็นได้ว่าเดิมโจทก์มิได้มีส่วนได้เสียในที่ดินที่จำเลยกับบุคคลอื่นพิพาทกันเลย การที่โจทก์ได้ค่าจ้างว่าความเป็นที่ดิน 200 ตารางวา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่จำเลยพิพาทกับบุคคลอื่นนั้น ทำให้โจทก์เป็นผู้เข้าไปมีส่วนได้เสียในที่ดินดังกล่าวโดยตรง เพราะหากจำเลยต้องแพ้คดีแล้ว โจทก์จะไม่ได้ค่าจ้างว่าความตามเอกสารหมาย จ.2 เนื่องจากจำเลยพิพาทกับบุคคลอื่นเกี่ยวกับที่ดินที่โจทก์จะได้รับส่วนแบ่งเป็นค่าจ้างตามฟ้องนั้นทั้งแปลง ดังนี้ย่อมแสดงว่า สัญญาจ้างว่าความตามเอกสารหมาย จ.2 มีลักษณะเป็นการรับโอนสิทธิในการดำเนินคดีของจำเลยมาจัดการให้โดยขอรับส่วนแบ่งจากที่ดินดังกล่าวเป็นค่าตอบแทนเมื่อจำเลยชนะคดี อันเป็นการช่วยเหลือยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นเป็นความกัน ซึ่งวัตถุประสงค์ของสัญญาจ้างว่าความดังกล่าวจึงขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150 โจทก์จึงฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาจ้างว่าความเอกสารหมาย จ.2 ไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง