แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การเพียงว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายชำระหนี้ที่จำเลยทดรองจ่ายค่าโฆษณาแทนโจทก์ไปก่อนจำเลยจึงนำเช็คพิพาทเข้าบัญชีของจำเลยเพื่อเรียกเก็บเงินจากโจทก์การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยจ่ายเงินค่าสินค้าและของแถมเกินกว่าโจทก์เป็นเงิน1,000,000บาทเศษจึงเป็นคนละเรื่องกับที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่จำเลยนำเช็คของโจทก์ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดชลบุรีมูลคดีจึงเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลจังหวัดชลบุรีด้วยพยานหลักฐานคือเช็คทั้งหมดก็อยู่ที่ธนาคารดังกล่าวการพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดชลบุรีจึงเป็นการสะดวกศาลจังหวัดชลบุรีจึงมีอำนาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ยื่นฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(2)เดิม อุทธรณ์ของจำเลยได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่บรรยายว่าใครเป็นคู่สัญญากับบริษัทโฆษณาและโจทก์กับจำเลยจะต้องชำระหนี้ค่าโฆษณาให้ใครมีใบเสร็จรับเงินหรือไม่บริษัทโฆษณาได้รับค่าโฆษณาของโจทก์หรือไม่และโจทก์ได้ชำระหนี้ซ้ำหรือไม่เป็นอุทธรณ์ที่กล่าวไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะเหตุที่จำเลยทั้งสองกล่าวไว้ข้างต้นหาใช่เป็นอุทธรณ์ไม่ชัดแจ้งอันจะไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคหนึ่งไม่ โจทก์ได้บรรยายฟ้องแล้วว่าโจทก์ได้ทำสัญญาแต่งตั้งให้จำเลยเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าตามสัญญาแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายซึ่งกำหนดให้จำเลยเป็นผู้จัดให้มีการโฆษณาโดยโจทก์และจำเลยร่วมกันจ่ายค่าโฆษณาคนละครึ่งและโจทก์บรรยายในฟ้องด้วยว่าจำเลยเอาความเท็จมาอ้างกับโจทก์ให้โจทก์จ่ายเงิน4,068,734บาทแก่จำเลยโดยอ้างว่าจะนำเงินไปชำระค่าโฆษณาฟ้องของโจทก์แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วข้อที่จำเลยอ้างในอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่าใครเป็นคู่สัญญากับบริษัทกับบริษัทโฆษณาโจทก์กับจำเลยจะต้องชำระหนี้ค่าโฆษณาให้ใครมีใบเสร็จรับเงินหรือไม่มีใบเสร็จรับเงินหรือไม่บริษัทโฆษณาได้รับค่าโฆษณาของโจทก์หรือไม่และโจทก์ได้ชำระหนี้ซ้ำหรือไม่นั้นโจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมศาลชั้นต้นจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้นเกี่ยวกับฟ้องเคลือบคลุมเพราะไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองโดยรอไว้วินิจฉัยรวมในคำพิพากษาได้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยหลอกลวงให้โจทก์ออกเช็คแล้วนำไปเรียกเก็บเงินเป็นของจำเลยโดยมิชอบจึงเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนจากผู้กระทำมิชอบต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1336ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิเช่นนี้เว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความฟ้องโจทก์ในกรณีเช่นนี้หาใช่เป็นฟ้องฐานลาภมิควรได้ไม่ โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกเงินตามเช็คของโจทก์ที่1ที่จำเลยที่1นำไปเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่1คืนการที่โจทก์ที่2ลงชื่อในเช็คดังกล่าวก็เป็นการกระทำในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ที่1เท่านั้นโจทก์ที่2ไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์เรียกคืนจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองแม้จำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธแต่อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้หลอกลวงให้โจทก์จ่ายเงินเช็คเป็นการชำระค่าโฆษณาแต่จำเลยไม่นำเช็คดังกล่าวไปชำระค่าโฆษณากลับนำไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินเองเป็นส่วนตัวและศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยหลอกให้โจทก์สั่งจ่ายเช็คแล้วนำไปเรียกเก็บเงินมาเป็นของจำเลยโดยมิชอบหรือไม่เช่นนี้การที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์ได้จ่ายเงินค่าโฆษณาและค่าของแถมเป็นเงิน14ล้านบาทเศษส่วนจำเลยชำระค่าโฆษณาและค่าของแถมเป็นเงินเพียง8ล้านบาทเศษโจทก์จึงจ่ายเงินค่าโฆษณาและของแถมเกินกว่าที่จำเลยชำระ4ล้านบาทเศษเป็นการนำสืบเพื่อให้เห็นว่าโจทก์ทราบว่าจำเลยหลอกลวงให้โจทก์จ่ายเช็คได้อย่างไรอันเป็นการนำสืบข้อเท็จจริงแวดล้อมกรณีหาเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองได้ร่วมกันเป็นผู้ผลิตซอสน้ำมันหอยตราแม่ครัวและได้ทำสัญญาให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดจำหน่ายน้ำมันหอยตราแม่ครัว โดยโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ผลิตซอสน้ำมันหอยตราแม่ครัวส่งขายให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นงวด ๆตกลงจ่ายค่าโฆษณาสินค้าคนละครึ่ง จำเลยที่ 2 ต้องชำระค่าสินค้าแก่โจทก์ที่ 1 ภายใน 60 วัน นับแต่วันได้รับสินค้า และโจทก์ยังได้ผลิตสินค้าซอสพริกสดตราฉลากทอง ซอสปรุงรสตราฉลากทอง และแป้งทอดกรอบตราฉลากทองขายให้แก่จำเลยที่ 2 โดยตกลงชำระค่าสินค้ากับค่าโฆษณาเช่นเดียวกันเมื่อเดือนพฤษภาคม 2528 โจทก์ที่ 1ได้มีหนังสือขอปรับราคาสินค้า แต่จำเลยที่ 1 ไม่ตกลง โจทก์ที่ 1จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่ 2 และหยุดส่งสินค้ามาขายให้แก่จำเลยที่ 2 ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน 2528 เป็นต้นมาปลายปี 2529 โจทก์ได้ตรวจสอบหลักฐานการเงินต่าง ๆ พบว่าระหว่างที่จำเลยที่ 2 จัดจำหน่ายสินค้าของโจทก์และดำเนินการติดต่อโฆษณาผลิตภัณฑ์สินค้าของโจทก์กับผู้โฆษณานั้น จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเอาความเท็จมากล่าวอ้างต่อโจทก์ให้โจทก์ที่ 1 จ่ายเงินจำนวน4,068,7.4 บาท แก่จำเลยทั้งสองโดยอ้างว่าจะนำไปชำระเป็นค่าโฆษณาสินค้าของโจทก์ตามข้อตกลง โจทก์หลงเชื่อจึงจ่ายเงินดังกล่าวโดยจ่ายเป็นเช็คของโจทก์ที่ 1 จำนวน 28 ฉบับ อันเป็นเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาชลบุรี และธนาคารกรุงเทพจำกัดสาขาชลบุรีให้แก่จำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำเช็คทั้ง 28 ฉบับ ดังกล่าวไปเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 1 แล้วเรียกเก็บเงินตามเช็คทั้ง 28 ฉบับ เป็นของจำเลย ปี 2528 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันหักเงินค่าสินค้าจำนวน 290,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระแก่โจทก์แล้วนำไปจ่ายแก่นายสุรชัยภูริเวทย์คุณากร กับนายเพ้งหัวหน้าวงแชร์แทนโจทก์ที่ 1 แต่เมื่อการเล่นแชร์ดังกล่าวสิ้นสุดลงหัวหน้าวงแชร์ทั้งหลายได้มอบเงินค่าแชร์จำนวน 290,000 บาท แก่จำเลยทั้งสองเพื่อมอบให้แก่โจทก์ที่ 1 แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมมอบเงินดังกล่าวแก่โจทก์ที่ 1ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินและคืนเงินรวมทั้งสิ้น4,358,734 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยมีสภาพแห่งข้อหาและข้อกล่าวอ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่เคยร่วมกันนำความเท็จมากล่าวอ้างให้โจทก์ที่ 1 จ่ายเงินจำนวน 4,068,734 บาท แก่จำเลยทั้งสอง แก่จำเลยทั้งสอง โดยอ้างว่าจะนำไปชำระค่าโฆษณาสินค้า ความจริงแล้วเมื่อปี 2526 ถึง 2528 โจทก์ทั้งสองมีปัญหาเงินทุนหมุนเวียนในกิจการค้า ได้ขอร้องให้จำเลยที่ 1 ช่วยเหลือโจทก์ทั้งสองโดยทดลองจ่ายค่าโฆษณาแทนโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงทดรองจ่ายค่าโฆษณาแทนโจทก์ที่ 1 ไปก่อน และโจทก์ที่ 1 สั่งจ่ายเช็คเท่าจำนวนเงินตามใบเสร็จค่าโฆษณาที่จำเลยที่ 1 ทดรองจ่ายไปแทนเป็นระยะ ๆ เช็คตามเอกสารท้ายฟ้องทั้ง 28 ฉบับ เป็นเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 ทดรองจ่ายค่าโฆษณาไปก่อนแทนโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงนำเช็คทั้ง 28 ฉบับ เข้าบัญชีของจำเลยที่ 1เพื่อเรียกเก็บเงินจากโจทก์ จำเลยไม่เคยหักเงินค่าสินค้าจำนวน290,000 บาท เพื่อชำระหนี้แทนโจทก์ในการเล่นแชร์วงนายสุรชัยและนายเพ้ง แต่จำเลยที่ 1 เอาเงินส่วนตัวชำระค่าแชร์ทั้งสองวงจนครบแล้ว โจทก์จะได้รับเงินแชร์ไปหรือไม่ จำเลยไม่ทราบ และโจทก์ชอบที่จะไปเรียกร้องจากนายวงแชร์ โจทก์รู้หรือควรจะรู้แล้วในวันที่สั่งจ่ายเช็คว่ามีมูลหนี้หรือไม่ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ 1 ปี ฐานลาภมิควรได้ ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินจำนวน4,068,734 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (2 กรกฎาคม 2530) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์คำขออื่นให้ยก
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 4มกราคม 2525 โจทก์ที่ 1 ได้ทำสัญญาให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าของโจทก์ที่ 1 โดยตกลงให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดหาบริษัทผู้โฆษณาสินค้าที่ขายโดยโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ตกลงชำระค่าโฆษณาคนละครึ่ง ในการชำระเงินค่าโฆษณา บริษัทผู้โฆษณาจะออกใบเสร็จรับเงิน 2 ฉบับ ตามจำนวนเงินที่โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 2จะต้องชำระและมอบใบเสร็จรับเงินให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อให้นำไปเรียกเก็บเงินจากโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 2 เช็คเอกสารท้ายฟ้องทั้ง 28 ฉบับเป็นเช็คที่โจทก์ที่ 1 สั่งจ่ายเงินแล้วมอบให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อนำไปชำระค่าโฆษณาสินค้า จำเลยที่ 1 ได้นำเช็คทั้ง 28 ฉบับ ดังกล่าวไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินเป็นของจำเลยที่ 1 รวมเป็นเงิน 4,068,734 บาท มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คส่วนตัวชำระหนี้ค่าโฆษณาแทนโจทก์ที่ 1 หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าพยานจำเลยทั้งสองมีพิรุธไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คชำระค่าโฆษณาทดรองแทนโจทก์ที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 นำเช็คโจทก์ที่ 1 ไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1จึงต้องรับผิดชดใช้เงินคืนให้แก่โจทก์ที่ 1
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองจ่ายเงินค่าสินค้าและของแถมเกินกว่าโจทก์ที่ 1 เป็นเงินถึง 1 ล้านบาทเศษ นั้น จำเลยทั้งสองให้การเพียงว่า เช็คตามเอกสารท้ายฟ้องทั้ง 28 ฉบับเป็นเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 ทดรองจ่ายค่าโฆษณาแทนโจทก์ไปก่อน จำเลยที่ 1 จึงนำเช็คทั้ง 28 ฉบับ เข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 เพื่อเรียกเก็บเงินจากโจทก์ ข้อที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นฎีกาดังกล่าวเป็นคนละเรื่องกับที่จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่ามูลคดีมิได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลจังหวัดชลบุรีนั้น เห็นว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกเงินที่จำเลยที่ 1 นำเช็คของโจทก์ที่ 1 ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาบุรี และธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาชลบุรี ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดชลบุรี มูลคดีจึงเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลจังหวัดชลบุรีด้วย พยานหลักฐานคือเช็คทั้งหมดก็อยู่ที่ธนาคารทั้งสองการพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดชลบุรีจึงเป็นการสะดวก ศาลจังหวัดชลบุรีจึงมีอำนาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ยื่นฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(2) เดิม
จำเลยทั้งสองฎีกาอีกว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในประเด็นฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมอย่างไรจึงไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในประเด็นดังกล่าวนั้นไม่ชอบ เพราะอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่บรรยายว่าใครเป็นคู่สัญญากับบริษัทโฆษณาและโจทก์ที่ 1กับจำเลยที่ 2 จะต้องชำระหนี้ค่าโฆษณาให้ใคร มีใบเสร็จรับเงินหรือไม่ บริษัทโฆษณาได้รับค่าโฆษณาของโจทก์ที่ 1 หรือไม่ และโจทก์ที่ 1 ได้ชำระหนี้ซ้ำหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า อุทธรณ์ดังกล่าวของจำเลยทั้งสองเป็นอุทธรณ์ที่กล่าวไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะเหตุที่จำเลยทั้งสองกล่าวไว้ข้างต้นส่วนฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมตามข้ออุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวหรือไม่เป็นข้อที่ต้องวินิจฉัยต่อไปที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในประเด็นว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จึงไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้นศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องแล้วว่า โจทก์ได้ทำสัญญาแต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าตามสัญญาแต่งตั้งผู้จัดจำหน่าย (เอกสารหมายเลข 5) ซึ่งในเอกสารดังกล่าวกำหนดให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดให้มีการโฆษณาโดยโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันจ่ายค่าโฆษณาคนละครึ่ง และโจทก์บรรยายในฟ้องข้อ 4 ว่า จำเลยทั้งสองเอาความเท็จมาอ้างกับโจทก์ให้โจทก์จ่ายเงิน 4,068,734 บาท แก่จำเลยทั้งสองโดยอ้างว่าจะนำเงินไปชำระค่าโฆษณา ฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วข้อที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์นั้นโจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาจำเลยทั้งสองในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น ศาลชั้นต้นจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้นเกี่ยวกับฟ้องเคลือบคลุมเพราะไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองโดยรอไว้วินิจฉัยรวมในคำพิพากษาได้
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความนั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองหลอกลวงให้โจทก์ที่ 1 ออกเช็คแล้วนำไปเรียกเก็บเงินเป็นของจำเลยที่ 1 โดยมิชอบจึงเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนจากผู้กระทำมิชอบต่อโจทก์มิใช่ฟ้องฐานลาภมิควรได้ตามที่จำเลยทั้งสองฎีกา การฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ไม่มีกำหนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิเช่นนี้ เว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ที่ 2 ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นส่วนตัวนั้น เห็นว่าโจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกเงินตามเช็คของโจทก์ที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 นำไปเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 คืน การที่โจทก์ที่ 2 ลงชื่อในเช็คดังกล่าวก็เป็นการกระทำในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ที่ 1 เท่านั้น โจทก์ที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์ที่ฟ้องเรียกคืน จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองแม้จำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธแต่อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคสอง
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้หลอกลวงให้โจทก์ที่ 1 จ่ายเช็คเป็นการชำระค่าโฆษณา แต่จำเลยไม่นำเช็คดังกล่าวไปชำระค่าโฆษณา กลับนำไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินเองเป็นส่วนตัว และศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยทั้งสองหลอกลวงให้โจทก์ที่ 1 สั่งจ่ายเช็ค แล้วนำไปเรียกเก็บเงินมาเป็นของจำเลยที่ 1 โดยมิชอบหรือไม่ แต่โจทก์กลับนำสืบพยานว่าโจทก์ได้จ่ายเงินค่าโฆษณาและค่าของแถมเป็นเงิน 14 ล้านบาทเศษส่วนจำเลยชำระค่าโฆษณา และค่าของแถมเป็นเงินเพียง 8 ล้านบาทเศษโจทก์จึงจ่ายเงินค่าโฆษณาและของแถมเกินกว่าที่จำเลยชำระ 4ล้านบาทเศษ เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น เห็นว่าการนำสืบของโจทก์ดังกล่าว นำสืบเพื่อให้เห็นว่าโจทก์ทราบว่าจำเลยหลอกลวงให้โจทก์ที่ 1 สั่งจ่ายเช็คได้อย่างไรอันเป็นการนำสืบข้อเท็จจริงแวดล้อมกรณีหาเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาไม่
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์