คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 147/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายเบิกความเป็นขั้นตอนเชื่อมโยงกันอย่างมีเหตุผลโอกาสที่ผู้เสียหายจะจำจำเลยที่2และที่3ได้มีอยู่มากและการที่ผู้เสียหายตรงเข้าชกจำเลยที่2และที่3ด้วยความโกรธในทันทีที่พบกันตอนชี้ตัวย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายจำหน้าจำเลยที่2และที่3ได้โดยปราศจากการลังเลพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงเชื่อได้ว่าจำเลยที่2และที่3กับพวกร่วมกันล่อลวงพาผู้ตายและผู้เสียหายมาทำร้าย แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานเห็นคนร้ายทำร้ายผู้ตายแต่การที่ผู้ตายตกอยู่ในวงล้อมการทำร้ายของจำเลยที่2ที่3และ ฮ.ซึ่งมีชะแลงเหล็กเป็นอาวุธและเมื่อผู้ตายหลบหนีก็ปรากฏว่ามีบาดแผลจนถึงแก่ความตายในคืนเดียวกันเหตุการณ์เชื่อมโยงบ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ตายถูกจำเลยที่2ที่3และ ฮ. ร่วมกันใช้ชะแลงเหล็กตีทำร้ายผู้ตาย จำเลยที่2และที่3อุทธรณ์ว่ามิใช่คนร้ายที่กระทำผิดตามฟ้องจึงครอบคลุมไปถึงข้ออุทธรณ์ว่าไม่มีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนอยู่ด้วย ผู้ตายและผู้เสียหายไม่เคยรู้จักหรือมีเหตุโกรธเคืองจำเลยที่2ที่3และ ฮ.มาก่อนทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบว่าจำเลยที่1มีความสัมพันธ์กับจำเลยที่2และที่3ประการใดพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเป็นเหตุจูงใจให้จำเลยที่2และที่3กับพวกต้องฆ่าผู้ตายการที่จำเลยที่2ที่3และพวกล่อลวงผู้ตายกับผู้เสียหายมายังที่เกิดเหตุจุดแรกพร้อมกันและตรงเข้าทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายพร้อมกันแต่ผู้ตายหลบหนีไปได้เสียก่อนในตอนแรกแสดงให้เห็นว่าเจตนาของจำเลยที่2ที่3และ ฮ.ที่มีต่อผู้ตายและผู้เสียหายในขณะนั้นเป็นเจตนาเดียวกันคือเจตนาทำร้ายการที่จำเลยที่2ที่3และ ฮ. ติดตามไปทันและฆ่าผู้ตายในภายหลังต่อเนื่องกันไปย่อมเห็นได้ว่าเพิ่งมีเจตนาฆ่าผู้ตายในขณะนั้นจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่2ที่3กับ ฮ. มีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การกระทำของจำเลยที่2และที่3ต่อผู้ตายและผู้เสียหายเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันแต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกาศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่2และที่3อีกกรรมหนึ่งได้เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา212ประกอบมาตรา225แต่ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่3กรกฎาคม2532เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยทั้งสามกับพวกอีกคนหนึ่งซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ
(ก)จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันใช้ชะแลงขนาดใหญ่ตีนาย สันติ นาบูดหรือนานูด หลายครั้งโดยมีเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อนจำเลยทั้งสามกับพวกลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้วแต่ไม่บรรลุผลเนื่องจากบาดแผลไม่ถูกอวัยวะสำคัญและนาย สันติหลบหนีได้ทันจึงไม่ถึงแก่ความตายเพียงแต่ได้รับอันตรายสาหัสกระดูกแขนขวาหักได้รับทุกขเวทนาและประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน
(ข)จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันใช้ชะแลงขนาดใหญ่ตีนาย สมัคร นันบุญมา หลายครั้งแล้วนำนาย สมัครไปวางบนทางรถไฟให้รถไฟแล่นทับจนขาดเป็นท่อนโดยมีเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อนกับกระทำโดยทารุณโหดร้ายเป็นเหตุให้นาย สมัครถึงแก่ความตาย
เหตุเกิดที่ตำบล ละแมอำเภอละแม จังหวัดชุมพรเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้เหล็กชะแลง1อันซึ่งจำเลยทั้งสามกับพวกใช้กระทำความผิดเป็นของกลางขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288,289(4)(5),83,80,91,33และริบชะแลงของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยที่2และที่3มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา289(4),289(4),80,83ประกอบมาตรา52(1)เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา91ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้ประหารชีวิตจำเลยที่2และที่3ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้จำคุกจำเลยที่2และที่3ไว้ตลอดชีวิตเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงให้ประหารชีวิตจำเลยที่2และที่3สถานเดียวริบชะแลงของกลางข้อหาอื่นให้ยกและให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่1
โจทก์จำเลยที่2และที่3อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยที่2และที่3ตามฟ้องข้อ(ก)เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา297(8)ประกอบมาตรา298,83และการกระทำของจำเลยที่2และที่3ตามฟ้องข้อ(ก)และข้อ(ข)เป็นความผิดกรรมเดียวกันผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา289(4),83อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา90สำหรับจำเลยที่2ให้ลงโทษประหารชีวิตส่วนจำเลยที่3มีอายุ19ปีเห็นควรลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา76ประกอบมาตรา52(1)คงให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่2และที่3ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า”พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องมีคนร้ายหลายคนร่วมกันใช้ชะแลงขนาดใหญ่ตีนาย สมัครนันบุญมา ผู้ตายและนาย สันติ นาบูดหรือนานูด ผู้เสียหายหลายครั้งเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายและผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสหลังจากนั้นคนร้ายนำผู้ตายไปวางไว้ที่รางรถไฟจนรถไฟทับร่างผู้ตายขาดเป็นท่อนปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่2และที่3มีว่าจำเลยที่2และที่3ร่วมกับพวกเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลา8นาฬิการะหว่างที่ผู้ตายและผู้เสียหายพักอาศัยอยู่ที่บ้านนาย มิ่งอำเภอละแม จังหวัดชุมพรผู้ตายมาแจ้งผู้เสียหายว่าจำเลยที่1ชวนให้ไปทำงานที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีผู้ตายกับผู้เสียหายตกลงต่อมาวันเดียวกันเวลา16นาฬิกาจำเลยที่1ที่2และนาย ฮีด ขับรถจักรยานยนต์2คันไปรับผู้ตายและผู้เสียหายผู้ตายและผู้เสียหายซ้อนท้ายรถจำเลยที่2ส่วนนาย ฮีดซ้อนท้ายรถจำเลยที่1ซึ่งขับตามไปจำเลยที่2ขับรถไปจอดที่บ้านพักของนาย สมชายซึ่งเป็นครูห่างจากตลาดอำเภอ ละแมประมาณ4กิโลเมตรโดยมีจำเลยที่3และน้องของนาย สมชายอีกคนหนึ่งอยู่ที่นั่นด้วยส่วนจำเลยที่1กับนาย ฮีด ไม่ได้ขับรถตามไปขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ18นาฬิกาเมื่ออยู่ที่บ้านนาย สมชายจนถึงเวลา20นาฬิกานาย ฮีดมาบอกว่าเดินทางไปจังหวัดสุราษฎร์ธานีไม่ได้เนื่องจากไม่มีรถให้พากันไปพักที่บ้านป้าของนาย ฮีดซึ่งอยู่ริมทางรถไฟและให้จำเลยที่2ไปส่งนาย ฮีดกับจำเลยที่3ก่อนแล้วจึงกลับมารับผู้ตายและผู้เสียหายหลังจากจำเลยที่2ขับรถไปส่งจำเลยที่3แล้วประมาณ30นาทีจำเลยที่2ชับรถมารับผู้ตายและผู้เสียหายมุ่งหน้าไปทางเขาเสร็จเลี้ยวเข้าไปในสวนมะพร้าวจำเลยที่2จอดรถแล้วบอกให้ผู้ตายกับผู้เสียหายเดินขึ้นไปบนทางรถไฟผู้ตายกับผู้เสียหายจึงเดินไปที่ทางรถไฟโดยมีจำเลยที่2เดินตามไปเมื่อถึงทางรถไฟพบจำเลยที่3กับนาย ฮีด นาย ฮีดส่งอาวุธปืนสั้นให้กับจำเลยที่2จำเลยที่2ก็ใช้อาวุธปืนดังกล่าวจี้ผู้ตายกับผู้เสียหายแล้วบอกว่าให้จัดการนาย ฮีดก็ใช้ชะแลงเหล็กเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ1นิ้วยาวประมาณ1ช่วงแขนตีศีรษะผู้เสียหายผู้เสียหายยกแขนขึ้นรับชะแลงเหล็กจึงถูกที่แขนจากนั้นผู้เสียหายวิ่งหลบหนีเข้าไปในป่าส่วนผู้ตายวิ่งย้อนกลับไปทางเดิมผู้เสียหายไปถึงสถานีรถไฟคลองขนานก็แจ้งเหตุให้นายสถานีรถไฟทราบนายสถานีรถไฟเป็นผู้พาผู้เสียหายไปแจ้งกำนันท้องที่กำนันพาผู้เสียหายไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอละแมในวันรุ่งขึ้นเวลา11นาฬิกาพร้อมทั้งระบุรูปพรรณสันฐานของจำเลยทั้งสามและนาย ฮีด ต่อมาวันเดียวกันเจ้าพนักงานตำรวจเรียกผู้เสียหายไปชี้ตัวจำเลยที่2และที่3ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยที่2และที่3ว่าเป็นคนร้ายพร้อมกันนั้นผู้เสียหายรู้สึกโกรธจึงเข้าไปชกจำเลยที่2และที่3แต่เจ้าพนักงานตำรวจห้ามขณะเกิดเหตุนาย ฮีดใช้ชะแลงเหล็กตีผู้เสียหายทางด้านหน้าก่อนจะถูกตีผู้เสียหายนั่งลงขอชีวิตจำเลยที่2ใช้อาวุธปืนจี้ผู้ตายและผู้เสียหายให้นั่งลงโดยจำเลยที่2และที่3ยืนอยู่ข้างนาย ฮีดคนละด้านห่างผู้ตายกับผู้เสียหายประมาณ1เมตรเห็นว่าผู้เสียหายเบิกความเป็นขั้นตอนเชื่อมโยงกันอย่างมีเหตุผลในตอนผู้ตายกับผู้เสียหายถูกพาไปที่บ้านนาย สมชาย โจทก์ก็มีนาย สมชายปิยะจินดา เบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลา17นาฬิกามีชาย5คนมาขอข้าวรับประทานที่บ้านนาย สมชายแม้นาย สมชายจะเบิกความว่าไม่รู้จักชายทั้งห้าแต่ตามคำให้การของพยานในชั้นสอบสวนเอกสารหมายจ.9ก็ปรากฏว่านาย สมชายให้การว่าชายทั้งห้ามีจำเลยที่2และที่3ซึ่งรู้จักกันอยู่ด้วยสอดคล้องกับคำเบิกความของผู้เสียหายระยะเวลาที่ผู้เสียหายเห็นจำเลยที่2เริ่มตั้งแต่จำเลยที่2ขับรถจักรยานยนต์ไปรับผู้ตายและผู้เสียหายเมื่อเวลา16นาฬิกาและมีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกันตลอดเวลาเช่นนี้โอกาสที่ผู้เสียหายจะจำจำเลยที่2ได้ย่อมมีอยู่มากเมื่อถึงบ้านนาย สมชาย ในเวลา18นาฬิกาผู้เสียหายก็เห็นจำเลยที่3อยู่ที่นั่นด้วยจนถึงเวลา20นาฬิกาก็ยังเห็นจำเลยที่2ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งจำเลยที่3อีกโอกาสที่ผู้เสียหายจะจำจำเลยที่3ย่อมมีอยู่มากเช่นกันและขณะเดียวกันย่อมมีโอกาสจำจำเลยที่2ได้มากขึ้นครั้นเมื่อถึงสถานที่เกิดเหตุซึ่งเป็นที่โล่งโอกาสที่ผู้เสียหายจะจำจำเลยที่2และที่3ซึ่งอยู่เผชิญหน้ากันย่อมมีอยู่มากเช่นเดียวกันและการที่ผู้เสียหายตรงเข้าชกจำเลยที่2และที่3ด้วยความโกรธในทันทีที่พบกันตอนชี้ตัวย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายจำหน้าจำเลยที่2และที่3ได้โดยปราศจากการลังเลพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงเชื่อได้ว่าจำเลยที่2และที่3กับพวกร่วมกันล่อลวงพาผู้ตายและผู้เสียหายมาทำร้ายและฟังได้ว่าจำเลยที่2และที่3กับพวกร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสส่วนคนร้ายที่ทำร้ายผู้ตายนั้นแม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานเห็นคนร้ายทำร้ายผู้ตายมานำสืบแต่การที่ผู้ตายตกอยู่ในวงล้อมการทำร้ายของจำเลยที่2ที่3และนาย ฮีด ซึ่งมีชะแลงเหล็กเป็นอาวุธที่ทางรถไฟและเมื่อผู้ตายหลบหนีก็ปรากฏว่ามีบาดแผลจนถึงแก่ความตายในคืนเดียวกันทั้งโจทก์มีผู้เสียหายสิบตำรวจเอก ธานินทร์ทรัพย์แดงเจ้าพนักงานตำรวจผู้ถ่ายภาพร้อยตำรวจเอก สมพงษ์ระวังทุกข์ พนักงานสอบสวนและพันตำรวจโท ไพศาลศรีสุข พนักงานสอบสวนอีกคนหนึ่งเบิกความประกอบภาพถ่ายประกอบคดีเอกสารหมายจ.1ภาพที่2กับภาพที่4และแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมายจ.2ได้ความทำนองเดียวกันว่าพบรอยเลือดที่มีกองทรายกลบไว้ห่างทางรถไฟประมาณ200เมตรพบชะแลงเหล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ1นิ้วมีรอยคราบเลือดและเส้นผมติดอยู่ตกอยู่ในสวนมะพร้าวใกล้กับกองเลือดและพบศพผู้ตายถูกรถไฟทับคอขาดแขนขาดตกอยู่ใต้สะพานรถไฟเหตุการณ์จึงเชื่อมโยงกันบ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ตายถูกจำเลยที่2ที่3และนาย ฮีด ติดตามมาทันตรงที่พบกองเลือดดังกล่าวแล้วร่วมกันใช้ชะแลงเหล็กตีทำร้ายผู้ตายแม้ศพผู้ตายจะปรากฏอยู่ใต้สะพานรถไฟและมีรอยเลือดบริเวณจุดที่พบศพผู้ตายริมทางรถไฟอยู่ด้วยแต่ตามภาพถ่ายเอกสารหมายจ.1ภาพที่2ก็ปรากฏว่ามีรอยเลือดบริเวณริมทางรถไฟเพียงเล็กน้อยทั้งทางพิจารณาที่โจทก์จำเลยนำสืบก็ไม่ปรากฏว่ามีรอยหยดเลือดมาจากกองเลือดที่กองทรายกลบไว้จึงเชื่อได้ว่าผู้ตายถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตายในบริเวณกองเลือดที่มีกองทรายกลบไว้แล้วถูกนำศพมาให้รถไฟทับหาใช่ผู้ตายเดินมาให้รถไฟทับเองดังจำเลยที่2และที่3ฎีกาไม่พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงเชื่อได้ต่อไปว่าจำเลยที่2ที่3และพวกร่วมกันใช้ชะแลงเหล็กของกลางตีผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายชะแลงเหล็กของกลางมีขนาดใหญ่และตามรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารท้ายฟ้องซึ่งพันตำรวจโทไพศาล พนักงานสอบสวนผู้ร่วมชันสูตรพลิกศพเบิกความรับรองไว้ก็ปรากฏว่าผู้ตายได้รับบาดแผลที่กะโหลกศีรษะด้านขวาซึ่งเป็นบาดแผลกว้าง3เซนติเมตรยาว12เซนติเมตรลึกจดกะโหลกศีรษะผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ได้การกระทำของจำเลยที่2ที่3และพวกดังกล่าวถือได้ว่ามีเจตนาฆ่าผู้ตายสำหรับปัญหาที่ว่าจำเลยที่2และที่3มีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่นั้นในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่2และที่3อุทธรณ์ว่ามิใช่คนร้ายที่กระทำผิดตามฟ้องจึงครอบคลุมไปถึงข้ออุทธรณ์ว่าไม่มีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนอยู่ด้วยหาใช่มิได้ยกขึ้นเป็นข้ออุทธรณ์ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค3วินิจฉัยไม่ในปัญหาข้อนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าผู้ตายและผู้เสียหายไม่เคยรู้จักจำเลยที่2ที่3และนาย ฮีดมาก่อนผู้ตายและผู้เสียหายเป็นคนต่างจังหวัดห่างไกลจากท้องที่เกิดเหตุมากเพิ่งมาหางานทำครั้งใหม่ในท้องที่อำเภอเกิดเหตุก่อนจะเกิดเหตุเพียง6วันไม่ปรากฏว่ามีเหตุโกรธเคืองกับผู้ใดมาก่อนคงมีเพียงผู้เสียหายเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายเล่าให้ฟังว่าจำเลยที่1เคยจ้างให้ผู้ตายไปเลื่อยไม้เถื่อนแล้วไม่จ่ายค่าแรงให้ซึ่งเห็นได้ว่าผู้ตายมิใช่ฝ่ายก่อเหตุให้จำเลยที่1โกรธเคืองทั้งศาลล่างทั้งสองศาลก็ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าจำเลยที่1มิได้มีส่วนร่วมในการฆ่าผู้ตายหรือทำร้ายผู้เสียหายและโจทก์ก็มิได้นำสืบว่าจำเลยที่1มีความสัมพันธ์กับจำเลยที่2และที่3ประการใดพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเป็นเหตุจูงใจให้จำเลยที่2และที่3กับพวกต้องฆ่าผู้ตายหากจำเลยที่2ที่3กับพวกล่อลวงผู้ตายกับผู้เสียหายมาเพื่อฆ่าก็ไม่น่าจะพากันเดินทางมาเป็นเวลานานถึง2ชั่วโมงเพื่อขออาหารรับประทานที่บ้านนาย สมชายเสียก่อนอันเป็นการเพิ่มขั้นตอนการฆ่าที่มากเกินไปทั้งยังเปิดโอกาสให้มีผู้พบเห็นเหตุการณ์รายทางอีกด้วยนอกจากนี้ระยะเวลานับแต่จำเลยที่2กับพวกพาผู้ตายและผู้เสียหายมาจากบ้านนาย มิ่งเมื่อเวลา16นาฬิกาจนกระทั่งออกจากบ้านเมื่อเวลา20นาฬิกาก็เนิ่นนานถึง4ชั่วโมงจำเลยที่2ที่3กับพวกย่อมมีโอกาสฆ่าผู้ตายและผู้เสียหายในขณะเผลอและลับตาคนได้โดยง่ายแต่ก็หาได้กระทำไม่แม้การเดินทางมายังที่เกิดเหตุจุดแรกที่ทางรถไฟจะมีจำเลยที่3และนาย ฮีด มาดักรอแต่การที่จำเลยที่2ที่3และพวกล่อลวงผู้ตายกับผู้เสียหายมายังที่เกิดเหตุจุดแรกพร้อมกันและตรงเข้าทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายพร้อมกันแต่ผู้ตายหลบหนีไปได้เสียก่อนในตอนแรกย่อมเห็นได้ว่าเจตนาของจำเลยที่2ที่3และนาย ฮีดที่มีต่อผู้ตายและผู้เสียหายในขณะนั้นเป็นเจตนาเดียวกันซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค3ก็ฟังข้อเท็จจริงโดยโจทก์ไม่ฎีกาว่าจำเลยที่2ที่3และนาย ฮีดมีเจตนาเพียงทำร้ายผู้เสียหายมิได้มีเจตนาฆ่าย่อมถือว่าขณะเดียวกันจำเลยที่2ที่3และนาย ฮีดคงมีเจตนาเพียงทำร้ายผู้ตายเช่นเดียวกันและถือได้ว่าในขณะนั้นจำเลยที่2ที่3และนาย ฮีดล่อลวงผู้ตายมาเพื่อทำร้ายเท่านั้นหาใช่ล่อลวงมาเพื่อฆ่าไม่การที่จำเลยที่2ที่3และนาย ฮีดติดตามไปทันและฆ่าผู้ตายในภายหลังต่อเนื่องกันไปโดยมีพฤติการณ์ดังกล่าวข้างต้นสนับสนุนย่อมเห็นได้ว่าเพิ่งมีเจตนาฆ่าผู้ตายในขณะนั้นจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่2ที่3กับนาย ฮีดมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
อนึ่งการกระทำของจำเลยที่2และที่3ดังกล่าวต่อผู้ตายและผู้เสียหายเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันหาใช่เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษาไม่แต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกาศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา297(8)อีกกรรมหนึ่งได้เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา112ประกอบมาตรา225แต่ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้”
พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่2และที่3มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288,297(8),83,91ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษตามมาตรา288จำคุกจำเลยที่2และที่3ตลอดชีวิตส่วนความผิดตามมาตรา297(8)ศาลอุทธรณ์ภาค3มิได้ลงโทษไว้และโจทก์มิได้ฎีกาจึงลงโทษตามมาตราดังกล่าวนี้มิได้เมื่อลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่3หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา76ประกอบมาตรา53แล้วคงจำคุกจำเลยที่3มีกำหนด33ปี4เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค3

Share