คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 426/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องในส่วนที่คิดอัตราดอกเบี้ยถึงวันฟ้องให้ตรงกับวันที่ที่โจทก์ยื่นคำฟ้องตามความเป็นจริงไม่มีผลทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแต่อย่างใดส่วนดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเป็นเรื่องที่จะต้องคำนวณให้ถูกต้องอีกขั้นตอนหนึ่ง หนังสือมอบอำนาจเป็นกรณีที่ตัวการมอบหมายให้ตัวแทนทำกิจการใดๆที่มิใช่กิจการเฉพาะตัวแทนตัวการตัวการย่อมมอบอำนาจให้ตัวแทนทำกิจการใดๆล่วงหน้ารวมทั้งการฟ้องคดีได้โดยไม่จำกัดเวลาและไม่จำต้องระบุบุคคลที่ต้องถูกฟ้องไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าเป็นผู้ใดส่วนตัวการจะมีอำนาจฟ้องบุคคลใดได้หรือไม่เป็นเรื่องที่จะพิจารณาในขณะยื่นคำฟ้องว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของตัวการตามกฎหมายแพ่งหรือไม่โจทก์มอบอำนาจให้ ย. มีอำนาจทำกิจการต่างๆตามที่ระบุไว้รวมทั้งฟ้องคดีเรียกร้องหนี้สินฯลฯด้วยมิใช่เป็นกรณีที่ ย. ซึ่งเป็นตัวแทนได้รับมอบอำนาจทั่วไปจากโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา801 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ใช้บัตรเครดิต วีซ่าที่โจทก์มอบให้ไปใช้จ่ายเพื่อชำระค่าสินค้าและค่าบริการต่างๆแต่จำเลยไม่นำเงินมาหักทอนบัญชีกับโจทก์จึงเป็นหนี้โจทก์จำนวนหนึ่งจำเลยให้การปฏิเสธว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะก่อภาระหนี้โดยใช้บัตรเครดิต วีซ่าของโจทก์ภาระหนี้ที่โจทก์อ้างเกิดขึ้นจากแหล่งอื่นซึ่งเป็นผู้ทำขึ้นจำเลยจึงไม่เป็นลูกหนี้โจทก์และไม่ผิดสัญญาต่อโจทก์คำให้การของจำเลยมิได้อ้างเหตุแห่งการนั้นว่าจำเลยมิได้เป็นลูกหนี้และไม่ได้ผิดสัญญาต่อโจทก์เพราะเหตุใดเป็นคำให้การที่ไม่แจ้งชัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177จำเลยไม่มีสิทธินำพยานมาสืบ

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง และ แก้ไข คำฟ้อง ว่า โจทก์ จดทะเบียน เป็น นิติบุคคลประเภท บริษัท จำกัด มี นาย อนุตร์ อัศวานนท์ กรรมการ ผู้จัดการ ใหญ่ ลงลายมือชื่อ พร้อม ประทับตรา บริษัท กระทำการ แทน บริษัท ได้ โจทก์มอบอำนาจ ให้ นาย ยงยุทธ กิจวรรณพัฒนา ฟ้องคดี แทน และ แต่งตั้ง ทนายความ ได้ ด้วย จำเลย เป็น ลูกค้า ของ โจทก์ ประเภท บัญชี เงินฝากกระแสรายวัน เลขที่ 032-1-01295-7 อันเป็น บัญชีเดินสะพัด ที่ มีความผูกพัน เมื่อ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2532 จำเลย ได้ สมัคร เป็นสมาชิก บัตรเครดิต วีซ่า ของ โจทก์ โดย จำเลย ตกลง กับ โจทก์ ว่า จำเลย จะ ปฏิบัติ และ ยอม ผูกพัน ตน ตาม ที่ โจทก์ กำหนด โดย โจทก์ จะ ให้สิทธิแก่ จำเลย เป็น ผู้ถือ บัตรเครดิต วีซ่า สามารถ เบิกเงิน สด เพื่อ ชำระ ค่าสินค้า หรือ ค่าบริการ แทน เงินสด จาก บรรดา ร้านค้า ซึ่ง เป็น ตัวแทนรับ บัตรเครดิต วีซ่า ของ โจทก์ รายการ ใช้ จ่าย ด้วย บัตรเครดิต วีซ่า ที่ จำเลย ได้ ใช้ จ่าย ไป โจทก์ จะ เป็น ผู้จ่าย แทน ให้ แก่ บรรดา ตัวแทนที่ เรียกเก็บ ไป ก่อน และ โจทก์ จะ จัด ส่ง รายการ ใช้ จ่าย ด้วย บัตรเครดิต วีซ่า ดังกล่าว ให้ จำเลย รับทราบ ทุกวัน ที่ 25 ของ เดือน เพื่อ ให้ จำเลย นำ เงิน ชำระ คืน ให้ โจทก์ เพื่อ หัก ทอน บัญชี กัน ภายใน วันที่ 6 ของ เดือนจาก บัญชี กระแสรายวัน ของ จำเลย หาก จำเลย ไม่ชำระ จำเลย ให้ ถือว่าเป็น การ ขอ เบิกเงินเกินบัญชี จาก โจทก์ และ ยอม เสีย ดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 15 ต่อ ปี ตาม ระเบียบ ปฏิบัติ ใน การ คิด ดอกเบี้ย เบิกเงินเกิน บัญชี ของ ธนาคาร จำเลย ได้ ใช้ บัตรเครดิต วีซ่า ที่ โจทก์ มอบ ให้ ไป ใช้ จ่าย ชำระ ค่าสินค้า และ ค่าบริการ ต่าง ๆ ใน ระยะ หลัง เมื่อ โจทก์แจ้ง รายการ ใช้ บัตรเครดิต วีซ่า ที่ โจทก์ จ่าย แทน ไป ให้ จำเลย ครบ กำหนด ใน แต่ละ เดือน จำเลย ไม่นำ เงิน มา หัก ทอน บัญชี กับ โจทก์ เป็น เวลา หลาย เดือนภาระ หนี้ ณ วันที่ 26 เมษายน 2533 จำเลย เป็น หนี้ โจทก์ เป็น เงิน294,702.43 บาท โจทก์ ทวงถาม แล้ว จำเลย เพิกเฉย จำเลย ค้างชำระ ดอกเบี้ยไม่ ทบต้น อัตรา ร้อยละ 15 ต่อ ปี นับแต่ วันที่ 27 เมษายน 2533ถึง วันที่ 15 มิถุนายน 2533 ซึ่ง เป็น วันฟ้อง เป็น เงิน 5,086.64 บาทขอให้ บังคับ จำเลย ชำระ เงิน 299,789.07 บาท แก่ โจทก์ พร้อม ด้วยดอกเบี้ย อัตรา ร้อยละ 15 ต่อ ปี จาก ต้นเงิน 294,702.43 บาท นับแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2533 เป็นต้น ไป จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ
จำเลย ให้การ ว่า จำเลย มิได้ มี เจตนา ที่ จะ ก่อ ภาระ หนี้ โดย ใช้สิทธิ ใน บัตรเครดิต วีซ่า ของ โจทก์ กับ ใคร แต่อย่างใด ภาระ หนี้ ที่ โจทก์ อ้าง อาจ เกิดขึ้น จาก แหล่ง อื่น ซึ่ง เป็น ผู้ที่ ทำให้ เกิดขึ้นจำเลย มิได้ ตกเป็น ลูกหนี้ ของ โจทก์ และ ไม่ผิด สัญญา ต่อ โจทก์ โจทก์นำ หนังสือมอบอำนาจ ที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และ ไม่ถูกต้อง สมบูรณ์ตาม แบบ มา ฟ้อง จำเลย โจทก์ จัดทำ หนังสือมอบอำนาจ มา ฟ้อง จำเลยก่อน ที่ มูลหนี้ จะ เกิดขึ้น และ ก่อน ที่ จำเลย จะ ยินยอม ตกลง เป็น ลูกค้าของ โจทก์ โจทก์ ไม่มี อำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม กล่าว คือคำฟ้อง ข้อ 4 โจทก์ อ้างว่า จำเลย ค้างชำระ หนี้ เป็น เงิน 294,702.43 บาทแต่ หนังสือ บอกกล่าว ของ โจทก์ เรื่อง ขอให้ ชำระหนี้ ฉบับ ลงวันที่7 กุมภาพันธ์ 2533 แจ้ง ยอดหนี้ ให้ ชำระ 296,272.87 บาท ซึ่ง เป็นยอดหนี้ ต่างกัน ส่วน ดอกเบี้ย ที่ โจทก์ คิด เอา จาก จำเลย จำนวน 5,086.64บาท แต่ จำเลย คิด ได้ เพียง 4,905.52 บาท และ โจทก์ คิด ดอกเบี้ย นับแต่วันที่ 27 เมษายน 2533 ถึง วันฟ้อง ระบุ ใน วงเล็บ ว่า เป็น วันที่8 มิถุนายน 2533 แต่ ความจริง โจทก์ ฟ้อง วันที่ 15 มิถุนายน 2533ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ชำระ เงิน 294,702.43 บาท แก่ โจทก์พร้อม ด้วย ดอกเบี้ย ร้อยละ 15 ต่อ ปี นับแต่ วันที่ 27 เมษายน 2533ถึง วัน ชำระ เสร็จ เฉพาะ ดอกเบี้ย นับแต่ วัน ดังกล่าว ถึง วันฟ้อง(วันที่ 15 มิถุนายน 2533) ต้อง ไม่เกิน 5,086.64 บาท
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว ปัญหา ข้อ แรก ตาม ฎีกา ของ จำเลยมี ว่า ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม หรือไม่ จำเลย ฎีกา ว่า โจทก์ ขอแก้ไขวันฟ้อง ใน คำฟ้อง จาก วันที่ 8 มิถุนายน 2533 เป็น วันที่ 15 มิถุนายน2533 เป็น สาระสำคัญ เพราะ ทำให้ ยอดหนี้ เปลี่ยนแปลง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นั้น เห็นว่า ฟ้องเคลือบคลุม เป็น คำฟ้องที่ ไม่แจ้งชัด ซึ่ง สภาพแห่งข้อหา และ คำขอบังคับ ทั้ง ข้ออ้าง ที่อาศัยเป็น หลักแห่งข้อหา เช่นนั้น การ ที่ โจทก์ เพียงแต่ ขอแก้ไข คำฟ้องใน ส่วน ที่ คิด อัตรา ดอกเบี้ย ถึง วันฟ้อง ให้ ตรง กับ วันที่ ที่ โจทก์ยื่น คำฟ้อง ตาม ความ เป็น จริง ไม่มี ผล ทำให้ ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุมแต่อย่างใด ส่วน ดอกเบี้ย ที่ โจทก์ เรียกร้อง เปลี่ยนแปลง ไป อย่างไรเป็น เรื่อง ที่ จะ ต้อง คำนวณ ให้ ถูกต้อง อีก ขั้นตอน หนึ่ง ฟ้องโจทก์ชอบ ด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว
ปัญหา ข้อ สอง ตาม ฎีกา ของ จำเลย มี ว่า หนังสือมอบอำนาจ ของ โจทก์มีผล ใช้ ได้ ตาม กฎหมาย หรือไม่ จำเลย ฎีกา ว่า หนังสือมอบอำนาจ ให้ ฟ้องคดีของ โจทก์ ทำ เมื่อ วันที่ 8 มกราคม 2531 แต่ จำเลย ผูก นิติสัมพันธ์กับ โจทก์ เมื่อ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2532 การ มอบอำนาจ ให้ ฟ้องคดีล่วงหน้า สิทธิ ของ โจทก์ ยัง ไม่ เกิดขึ้น หนังสือมอบอำนาจ จึง ไม่มี ผล ตามกฎหมาย นั้น เห็นว่า หนังสือมอบอำนาจ เป็น กรณี ที่ ตัวการ มอบหมายให้ ตัวแทน ทำ กิจการ ใด ๆ ที่ มิใช่ กิจการ เฉพาะตัว แทน ตัวการ ตัวการย่อม มอบอำนาจ ให้ ตัวแทน ทำ กิจการ ใด ๆ ล่วงหน้า รวมทั้ง การ ฟ้องคดีได้ โดย ไม่จำกัด เวลา และ หนังสือมอบอำนาจ ให้ ฟ้องคดี นั้น ไม่จำต้องระบุ บุคคล ที่ ต้อง ถูก ฟ้อง ไว้ โดยเฉพาะ เจาะจง ว่า เป็น ผู้ใด ส่วนตัว การจะ มีอำนาจ ฟ้อง บุคคล ใด หรือไม่ เป็น เรื่อง ที่ จะ พิจารณา ใน ขณะ ยื่นคำฟ้อง ว่า มี ข้อโต้แย้ง เกิดขึ้น เกี่ยวกับ สิทธิ หรือ หน้าที่ ของ ตัวการตาม กฎหมาย แพ่ง หรือไม่ ภาพถ่าย หนังสือมอบอำนาจ ท้ายฟ้อง หมายเลข 2หรือ ต้นฉบับ หนังสือมอบอำนาจ เอกสาร หมาย จ. 2 โจทก์ มอบอำนาจ ให้นาย ยงยุทธ กิจวรรณพัฒนา มีอำนาจ ทำ กิจการ ต่าง ๆ ตาม ที่ ระบุ ไว้ รวมทั้ง ฟ้องคดี เรียกร้อง หนี้สิน ฯลฯ ด้วย เนื้อหา ใน หนังสือมอบอำนาจดังกล่าว จึง มิใช่ เป็น กรณี ที่นาย ยงยุทธ ซึ่ง เป็น ตัวแทน ได้รับ มอบอำนาจ ทั่วไป จาก โจทก์ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 801ดังนั้น หนังสือมอบอำนาจ ให้ ฟ้องคดี ของ โจทก์ ดังกล่าว ย่อม สมบูรณ์มีผล ใช้ ได้ ตาม กฎหมาย
ปัญหา ต่อไป ตาม ฎีกา ของ จำเลย ที่ ว่า จำเลย ผิดสัญญา และ จะ ต้องรับผิด ต่อ โจทก์ หรือไม่ เพียงใด นั้น เห็นว่า โจทก์ ฟ้อง ว่า จำเลย ได้ ใช้บัตรเครดิต วีซ่า ที่ โจทก์ มอบ ให้ ไป ใช้ จ่าย เพื่อ ชำระ ค่าสินค้า และ ค่าบริการ ต่าง ๆ โจทก์ ได้ แจ้ง รายการ ใช้ บัตรเครดิต วีซ่า ที่ โจทก์ จ่าย แทน ไป ให้ จำเลย ตาม กำหนด ใน แต่ละ เดือน จำเลย ไม่นำ เงิน มา หัก ทอนบัญชี กับ โจทก์ เป็น เวลา หลาย เดือน ภาระ หนี้ ณ วันที่ 26 เมษายน 2533จำเลย เป็น หนี้ โจทก์ 294,702.43 บาท จำเลย ให้การ ปฏิเสธ แต่เพียง ว่าจำเลย มิได้ มี เจตนา ที่ จะ ก่อ ภาระ หนี้ โดย ใช้ บัตรเครดิต วีซ่า ของ โจทก์ ภาระ หนี้ ที่ โจทก์ อ้าง เกิดขึ้น จาก แหล่ง อื่น ซึ่ง เป็น ผู้ทำ ขึ้น จำเลยจึง ไม่เป็น ลูกหนี้ โจทก์ และ ไม่ผิด สัญญา ต่อ โจทก์ คำให้การ ของ จำเลยมิได้ อ้าง เหตุ แห่ง การ นั้น ไว้ ใน คำให้การ ว่า จำเลย มิได้ เป็น ลูกหนี้โจทก์ และ ไม่ได้ ผิดสัญญา ต่อ โจทก์ เพราะ เหตุใด จึง เป็น คำให้การที่ ไม่แจ้งชัด ซึ่ง เหตุ แห่ง การ นั้น ตาม ประมวล กฎหมาย วิธีพิจารณาความ แพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จำเลย ไม่มี สิทธิ นำพยาน มา สืบ โจทก์ นำสืบให้ เห็นว่า จำเลย ได้ ใช้ บัตรเครดิต วีซ่า ของ โจทก์ ชำระ ค่าสินค้า และ ค่าบริการ จาก ร้านค้า ต่าง ๆ โจทก์ ได้ ออก เงินทดรอง จ่าย ให้ ร้านค้าตาม กำหนด ทุกวัน ที่ 6 ของ เดือน เมื่อ คำนวณ ถึง วันที่ 26 เมษายน 2533จำเลย เป็น หนี้ โจทก์ 294,702.43 บาท ตาม รายการ ใน บัญชี เอกสาร หมาย จ. 6ถึง จ. 19 นอกจาก นี้ จำเลย ได้ มี หนังสือ ถึง ผู้จัดการ สาขา บางเขน ของ โจทก์ ตาม เอกสาร หมาย จ. 24 เมื่อ วันที่ 12 กรกฎาคม 2532 ยอมรับสภาพ หนี้ ว่า จำเลย ได้ ใช้ บัตรเครดิต วีซ่า เป็น หนี้ โจทก์ ประมาณ 227,022.57 บาท และ เสนอ ผ่อนชำระ เดือน ละ 10,000 บาท ซึ่ง เป็นเวลา ก่อน ที่ โจทก์ ฟ้องคดี นาน ถึง 9 เดือน เศษ รายการ บัญชี ตาม เอกสาร หมายจ. 6 ถึง จ. 19 ถือได้ว่า เป็น หลักฐาน แห่ง หนี้ ที่ โจทก์ ซึ่ง เป็น ธนาคารมี หน้าที่ จะ ต้อง จัดทำ บัญชี และ หลักฐาน ต่าง ๆ ขึ้น สำหรับ ลูกค้าของ โจทก์ ทุก ราย เพื่อ แสดง ยอดเงิน ฝาก และ เงิน ถอน ระหว่าง โจทก์กับ ลูกค้า แต่ละ ราย ว่า เป็น หนี้ ต่อ กัน หรือไม่ เพียงใด จึง มีเหตุ ผลเชื่อ ได้ว่า โจทก์ คิด คำนวณ โดยสุจริต ใน การ ดำเนิน ธุรกิจ ของ ตน ถูกต้องตาม ความ เป็น จริง ศาล รับฟัง รายการ บัญชี ดังกล่าว ได้ว่า จำเลย เป็น หนี้ตาม ที่ โจทก์ ฟ้อง โดย ไม่จำต้อง อาศัย พยานหลักฐาน อื่น พิสูจน์ หนี้ของ จำเลย ”
พิพากษายืน

Share