แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์บนที่งอกที่ดินน้ำทะเลท่วมไม่ถึงหน้าที่ดินตราจองเลขที่1494และหน้าที่ดินตราจองเลขที่1493ของจำเลยที่1และที่2โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกิน10ปีขอให้พิพากษาว่าที่ดินทั้งสองแปลงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โจทก์จึงมีหน้าที่พิสูจน์ให้ได้ความตามฟ้องดังกล่าวที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ครอบครองพิพาทแทนจำเลยที่1และที่2เป็นการวินิจฉัยว่าโจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนั่นเองจึงไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งของที่ดินตราจองที่ตราว่า”ได้ทำประโยชน์แล้ว”เลขที่1494และ1493ที่พิพาทซึ่งเป็นที่งอกจึงเป็นทรัพย์สินของจำลองทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1308และถือว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ดินมือเปล่าแต่เป็นที่ดินอยู่ในตราจองที่ตราว่า”ได้ทำประโยชน์แล้ว”ของที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวในลักษณะเป็นส่วนควบส่วนการที่ทางราชการออกโฉนดที่ดินให้แก่ที่พิพาทเป็นเพียงการปฏิบัติเพื่อให้ที่พิพาทมีหนังสือสำคัญตามประเภทของที่ดินเท่านั้นหากโจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโจทก์จะต้องครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีจึงจะได้กรรมสิทธิ์ จำเลยทั้งสองได้ว่าจ้างโจทก์เฝ้าดูแลที่ดินทั้งสองแปลงซึ่งเป็นที่ดินตราจองที่ตราว่า”ได้ทำประโยชน์แล้ว”รวมตลอดทั้งที่พิพาทซึ่งเป็นที่งอกริมตลิ่งด้วยการที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทในพฤติการณ์เช่นนี้จึงเป็นการครอบครองแทนจำเลยทั้งสองหากโจทก์ยังคงยึดถือครอบครองที่พิพาทในลักษณะเช่นนี้อยู่ตราบใดไม่ว่าระยะเวลาจะเนิ่นนานเพียงใดโจทก์ก็ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทอยู่ตราบนั้นโจทก์จะมีทางได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทก็ต่อเมื่อโจทก์ได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังจำเลยทั้งสองว่าโจทก์ไม่มีเจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยทั้งสองอีกต่อไปแล้วครอบครองที่พิพาทต่อจากนั้นไปโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีเท่านั้นเมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ดำเนินการขอออกโฉนดที่พิพาทเมื่อปี2515และโจทก์ได้คัดค้านโดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ที่ได้ครอบครองมาดังนี้การที่โจทก์คัดค้านดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์บอกกว่าจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยทั้งสองมาเป็นการยึดถือเพื่อตนให้แก่จำเลยทั้งสองทราบแล้วโดยปริยายเมื่อปี2515แต่โจทก์เพิ่งจะมาฟ้องกล่าวอ้างว่าได้ครอบครองที่พิพาทโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเมื่อปี2517หลังจากที่บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพียงสองปียังไม่ครบสิบปีดังนี้โจทก์จึงหาได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่าเมื่อประมาณปี 2490 โจทก์ได้ครอบครองและทำประโยชน์บนที่งอกที่ดิน น้ำทะเลท่วมไม่ถึงหน้าที่ดินตราของเลขที่ 1494และหน้าที่ดินตราจองเลขที่ 1493 เนื้อที่ 3 งาน 35 ตารางวาและ 1 ไร่ 41 ตารางวา ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่เคยโต้แย้งคัดค้าน โจทก์ได้เคยติดต่อพนักงานที่ดินอำเภอหัวหินขอออกหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวพนักงานที่ดินอำเภอหัวหินไม่ยอมดำเนินการให้ โดยเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2515 จำเลยที่ 3 ผู้เป็นข้าราชการกระทำการในทางการที่จ้างตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 4 ออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินแปลงแรกให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 2699 และออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินแปลงที่สองให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 2700 โดยที่จำเลยที่ 1และที่ 2 มิได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวอันเป็นการมิชอบทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนโฉนดเลขที่ 2699 และ 2700 ที่จำเลยที่ 3 ออกให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 และพิพากษาว่าที่ดินทั้งสองแปลงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 แก้ชื่อในโฉนดทั้งสองแปลงแล้วใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ถ้าไม่สามารถดำเนินการได้ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย มิฉะนั้นให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เท่าราคาที่ดินเป็นเงิน 776,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมการเพิกถอนโฉนดที่ดินเป็นอำนาจของอธิบดีกรมที่ดินโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินได้ จำเลยที่ 1และที่ 2 ได้ครอบครองที่ดินหน้าตราจองของจำเลยที่ 1 และที่ 2ในส่วนที่เป็นที่งอกริมทะเลมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนถึงปัจจุบัน จนกระทั่งได้นำเจ้าพนักงานที่ดินมาทำการรังวัดออกโฉนดที่ดินเป็นโฉนดเลขที่ 2699และ 2700 โดยชอบ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2699 และ 2700 ตามลำดับ โดยชอบด้วยกฎหมายโจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนการครอบครองที่พิพาทนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำเจ้าพนักงานที่ดินมาทำการรังวัดที่ดินเพื่อออกโฉนดที่ดินอันถือได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ภายในเวลา 1 ปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความโจทก์มิได้ครอบครองที่พิพาทมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกิน 10 ปีและมิได้เป็นผู้เข้ามาทำประโยชน์ในที่พิพาททั้งสองแปลงมาโดยไม่ขาดสอบ ขอให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ได้ออกโฉนดที่ดินพิพาททั้งสองแปลงตามขั้นตอนตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายที่ดินและเป็นไปตามกฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 จึงเป็นการออกโฉนดที่ดินโดยชอบ จำเลยที่ 3 และที่ 4ได้กระทำไปโดยสุจริต ด้วยความรอบคอบตามขั้นตอนของกฎหมายมิได้จงใจหรือประมาททำให้โจทก์เสียหายอันจะเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จึงมิต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ และกรณีไม่มีเหตุที่จะให้เพิกถอนโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ทราบข้อเท็จจริงคดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ทั้งโจทก์มิได้ขอให้อธิบดีกรมที่ดินเพิกถอนโฉนดที่ดินเสียก่อนแต่กลับนำคดีมาฟ้องเสียเลยทีเดียวเป็นการกระทำการข้ามขั้นตอน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 7,000 บาท
ระหว่างภายในกำหนดเวลาอุทธรณ์ นางสม หญ้าวงช้างทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอว่า โจทก์ถึงแก่กรรมไปแล้วจึงขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์ได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถาไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า ที่พิพาทอยู่ริมทะเลเป็นที่งอกริมตลิ่งของที่ดินตราจองที่ตรงว่า”ได้ทำประโยชน์แล้ว” เลขที่ 1494 และ 1493 ตำบลหนองแกอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ดินตราจองดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ ต่อมาปี 2515จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินที่พิพาทซึ่งเป็นที่งอกริมตลิ่งและทางราชการได้ออกโฉนดที่ดินให้ในส่วนของจำเลยที่ 1 คือโฉนดเลขที่ 2699 ส่วนของจำเลยที่ 2คือโฉนดเลขที่ 2700 ปัญหาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกประเด็นหรือไม่นั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องว่าเมื่อประมาณปี 2490 โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์บนที่งอกที่ดินน้ำทะเลท่วมไม่ถึงหน้าที่ดินตราจองเลขที่ 1494 และหน้าที่ดินตราของเลขที่ 1493ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกิน 10 ปี ขอให้พิพากษาว่าที่ดินทั้งสองแปลงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โจทก์จึงมีหน้าที่พิสูจน์ให้ได้ความตามฟ้องดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทแทนจำเลยที่ 1 และที่ 2เป็นการวินิจฉัยว่า โจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนั่นเอง จึงไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
สำหรับปัญหาข้อที่ว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งของที่ดินตราจองที่ตราว่า “ได้ทำประโยชน์แล้ว” เลขที่ 1494และ 1493 ดังได้กล่าวแล้วข้างต้นที่พิพาทซึ่งเป็นที่งอกจึงเป็นทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1308 และถือว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ดินมือเปล่า แต่เป็นที่ดินอยู่ในตราจองที่ตราว่า “ได้ทำประโยชน์แล้ว” ของที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวในลักษณะเป็นส่วนควบ ส่วนการที่ทางราชการออกโฉนดที่ดินให้แก่ที่พิพาทเป็นเพียงการปฏิบัติเพื่อให้ที่พิพาทมีหนังสือสำคัญตามประเภทของที่ดินเท่านั้น หากโจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโจทก์จะต้องครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีจึงจะได้กรรมสิทธิ์และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานจำเลยทั้งสองจึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานโจทก์ กรณีฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองได้ว่าจ้างโจทก์เฝ้าดูแลที่ดินทั้งสองแปลงตามฟ้องรวมตลอดทั้งที่พิพาทซึ่งเป็นที่งอกริมตลิ่งด้วย ตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบการที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทในพฤติการณ์เช่นนี้ จึงเป็นการครอบครองแทนจำเลยทั้งสอง หากโจทก์ยังคงยึดถือครอบครองที่พิพาทในลักษณะเช่นนี้อยู่ตราบใดไม่ว่าระยะเวลาจะเนิ่นนานเพียงใด โจทก์ก็ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทอยู่ตราบนั้น โจทก์จะมีทางได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทก็ต่อเมื่อโจทก์ได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังจำเลยทั้งสองว่าโจทก์ไม่มีเจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยทั้งสองอีกต่อไปแล้วครอบครองที่พิพาท ต่อจากนั้นไปโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีเท่านั้นได้ความจากการนำสืบของโจทก์และจำเลยทั้งสองต้องกันว่าจำเลยทั้งสองได้ดำเนินการขอออกโฉนดที่พิพาทเมื่อปี 2515 และโจทก์ได้คัดค้านโดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ที่ได้ครอบครองมา การที่โจทก์คัดค้านดังกล่าว ถือได้ว่าโจทก์บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยทั้งสองมาเป็นการยึดถือเพื่อตนให้แก่จำเลยทั้งสองทราบแล้วโดยปริยายเมื่อปี 2515 แต่โจทก์เพิ่งจะมาฟ้องกล่าวอ้างว่าได้ครอบครองที่พิพาทได้โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเมื่อปี 2517 หลังจากที่บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพียงสองปี ยังไม่ครบสิบปี ดังนี้ โจทก์จึงหาได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ดังที่โจทก์ฟ้องไม่ เมื่อที่พิพาทยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองอยู่เช่นนี้การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4ดำเนินการออกโฉนดพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2จึงเป็นการกระทำโดยชอบ
พิพากษายืน