คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 759/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีฟ้องเรียกให้ชำระค่าก่อสร้าง บรรยายฟ้องเกี่ยวกับงานก่อสร้างเพิ่มเติมแต่เพียงว่า จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินค่าก่อสร้างเพิ่มเติมอีกเป็นเงิน 14,600 บาท โดยมิได้บรรยายรายละเอียดว่า จำเลยตกลงจ้างโจทก์ก่อสร้างเพิ่มเติมเมื่อไร เป็นงานอะไร คิดค่าจ้างเพิ่มเป็นเงินเท่าใด และจำเลยชำระแล้วเท่าใด เป็นฟ้องที่มิได้แสดงแจ้งชัดเพื่อมิได้แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพของข้อหา และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นนั้น ฟ้องในส่วนนี้จึงเคลือบคลุม
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 มอบให้จำเลยที่ 1 ว่าจ้างเหมาะโจทก์ก่อสร้างตึกแถวพิพาทตามสัญญาจ้างเหมาท้ายฟ้องซึง่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องนั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ในนามของจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญา เพราะทำในฐานะจำเลยที่ 1 ก็มิได้โต้แย้งแต่อย่างใดว่าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญา เพราะทำในฐานะตัวแทน ดังนี้ หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการทำสัญญาจ้างเหมารายพิพาทนี้เองแล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลจะยกฟ้องจำเลยที่ 1 เสียโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะเป็นตัวแทน แต่ไม่ได้บรรยายมาในคำฟ้องว่ามีเหตุอย่างใดที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกโดยลำพังสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยทึ 1 จึงไม่อาจบังคับจำเลยที่ 1 ตามที่ขอมาได้นั้นข้อหาไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ มอบให้จำเลยที่ ๑ ว่าจ้างเหมาโจทก์ก่อสร้างตึก ๑๘ คูหา เป็นเงิน ๑,๐๔๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยตกลงจ่ายเงินค่าก่อสร้างเป็นงวด ๆ ตามผลงานตามเงื่อนไขสัญญาท้ายฟ้อง โดยโจทก์ก่อสร้างตามธรรมเนียมจนถึงงวดที่ ๕ ปรากฏจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงินค่าก่อสร้างให้โจทก์ตามงวด เป็นเงิน ๓๓๐,๐๐๐ บาท และไม่ชำระเงินค่าก่อสร้างงานเพิ่มอีกเป็นเงิน ๑๔,๖๐๐ บาท โจทก์จึงระงับการก่อสร้างไว้ ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๓๔๔,๖๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การต้องกันว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ตัวแทนจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ได้จ้างนายฮั่งเจ็ง เป็นผู้รับเหมาช่วงปลูกสร้างอาคารที่พิพาท ไม่เคยจ้างโจทก์ก่อสร้าง โจทก์เข้าทำการปลูกสร้างโดยอาศัยสิทธิของนายฮั่งเจ็ง จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าจ้างให้นายฮั่งเจ็งและโจทก์แล้วเป็นเงิน ๗๙๒,๐๐๐ บาท ทั้งที่ทำงานเสร็จคิดเป็นเงินเพียง ๗๐๐,๐๐๐ บาท ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่บรรยายว่า โจทก์ก่อสร้างถึงงวดใด ผลงานมีเพียงใด เป็นเงินเท่าใด จำเลยที่ ๑ ผิดนัดชำระเงินงวดใด และเงินค่าก่อสร้างเพิ่มเติม ๑๔,๖๐๐ บาท โจทก์ก็ไม่ได้บรรยายว่าเป็นงานเพิ่มเติมส่วนไหนอย่างไร และตกลงว่าจ้างเพิ่มเติมกันอย่างไร สัญญาท้ายฟ้องเป็นสัญญาปลอม
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ที่เรียกเงินค่าก่อสร้างงานเพิ่มเติมจำนวน ๑๔,๕๐๐ บาท เคลือบคลุม ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนจำเลยที่ ๒ และไม่เชื่อว่าจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจ้างโจทก์ โจทก์มาศาลด้วยมือไม่บริสุทธิ์ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ เป็นการฟ้องให้จำเลยที่ ๑ รับผิดในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ ๒ แต่โจทก์ได้บรรยายว่ามีเหตุผลเสียอย่างที่จำเลยที่ ๑ จึงไม่อาจบังคับตามที่โจทก์ขอมาได้ ต้องยกฟ้องจำเลยที่ ๑ เสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคสาม และ ๒๔๖ คำฟ้องที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ เฉพาะเรื่องก่อสร้างเพิ่มเติมเป็นฟ้องเคลือบคลุม จำเลยที่ ๒ มิได้มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นขอแรกที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โจทก์ฎีกาฟ้องว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับงานที่จำเลยจ้างโจทก์ก่อสร้างเพิ่มเติมจำนวน ๑๔,๖๐๐ บาท ชัดแจ้งพอที่จำเลยเข้าใจข้อหาได้ จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์นั้น เห็นว่าคำฟ้องโจทก์บรรยายเกี่ยวกับงานสร้างเพิ่มเติมแต่เพียงว่า จำเลยผิดตัดไม่ชำระเงินค่าก่อสร้างเพิ่มเติมอีกเป็นเงิน ๑๔,๖๐๐ บาท โดยมิได้บรรยายรายละเอียดว่าจำเลยตกลงจ้าง
โจทก์ก่อสร้างเพิ่มเติมอย่างไร เป็นงานอะไรบ้างที่นอกเหนือจากสัญญาจ้างเติม และคิดค่าจ้างเพิ่มเป็นจำนวนเงินค่าจ้างเท่าใด และจำเลยชำระเงินค่าก่อสร้างงานเพิ่มเติมแก่โจทก์แล้วเท่าใด จึงเป็นฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นนั้น ฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้จึงเคลือบคลุม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรค ๒ ฎีกาของโจทก์ฟ้องข้อนี้ไม่ขึ้น
ประเด็นข้อที่ ๒ ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ หรือไม่ ข้อนี้โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจ้างเหมารายพิพาทกับโจทก์ แต่ชั้นพิจารณาโจทก์กลับนำสืบพยานพบว่า จำเลยที่ ๑ เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ ๒ ในการก่อสร้างตึกแถวแล้วยกกรรมสิทธิ์ตึกแถวให้แก่เจ้าของที่ดิน จำเลยที่ ๑ ในฐานะตัวแทนของหุ้นส่วนได้ว่าจ้างก่อสร้างตึกแถวพิพาท ข้อนำสืบของโจทก์ขัดแย้งกับคำฟ้อง รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ จำเลยมีตัวจำเลยทั้งสองเบิกความว่า จำเลยที่ ๒ แต่เพียงลำพังคนเดียวเป็นผู้ทำสัญญารับปลูกสร้างตึกแถวกับนายแสง โชติวิจิตร เจ้าของที่ดิน แล้วจำเลยที่ ๒ ได้ว่าจ้างจำเลยที่ ๑ ก่อสร้างตึกแถวรายนี้อีกต่อหนึ่ง เห็นว่า จำเลยมีสัญญาปลูกสร้างตึกแถวยกกรรมสิทธิ์แก่เจ้าของที่ดิน หมาย จ. ๑ และ จ. ๒ และสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างตึกแถวระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ หมาย จ.๓ ถึง จ.๕ (อยู่ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๙๘๘/๒๕๑๔) มาประกอบ นายแสงเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นพยานจำเลยชั้นพิจารณา และพยานโจทก์ชั้นไต่สวนคำขอยึดและอายัดทรัพย์ก่อนพิพากษาก็เบิกความทำนองนั้น นับได้ว่านายแสงเป็นพยานคนกลาง คำเบิกความของนายแสงจึงมีน้ำหนัก พยานจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าพยานโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒ หาใช่เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ไม่ เช่นนี้ จำเลยที่ ๒ จึงไม่มีนิติสัมพันธ์ใดกับโจทก์ และไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ประเด็นข้อที่ ๓ ว่า จำเลยที่ ๑ ได้จ้างโจทก์ก่อสร้างตึกแถวพิพาทหรือไม่ ข้อนี้โจทก์นำสืบว่า โจทก์ได้ทำหนังสือสัญญารับจ้างเหมาก่อสร้างพิพาทกับจำเลยที่ ๑ มีข้อความตามภาพถ่ายสัญญาหมา จ.๕ โจทก์และจำเลยที่ ๑ ยึดถือไว้คนละฉบับ ต่อมา จำเลยที่ ๑ มาขอยืมสัญญาฉบับของโจทก์ไปแล้วไม่คืนให้ โจทก์ได้แจ้งความต่อตำรวจให้ดำเนินคดีกับจำเลย พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ข้อหาว่า เอาไปเสียซึ่งเอกสาร (สัญญาจ้างเหมาหมาย จ.๕) ของผู้อื่นโดยทุจริต ปรากฏตามสำนวนคดีอาญาหมายเลข ๕๐๖๑/๒๕๑๖ ของศาลอาญา และโจทก์เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการด้วย ปรากฏว่าคดีดังกล่าวนั้นศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการด้วย ปรากฏว่า คดีดังกล่าวนั้นศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ร่วมและทำสัญญากันไว้ตามภาพถ่ายหมาย จ.๑ เป็น ๒ ฉบับ ให้โจทก์ร่วมและจำเลยยึดถือไว้คนละฉบับ ต่อมาจำเลยยืมสัญญาคู่ฉบับ คู่ฉบับของโจทก์ร่วมไปจากนายเสวนิตย์ โออนุรักษ์ บุตรโจทก์ร่วมแล้วไม่ยอมคืนให้ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๘ จำคุก ๑ ปี เช่นนี้ จึงรับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญารับจ้างเหมาก่อสร้างตึกพิพาทกันมีข้อความภาพถ่ายหมาย จ.๕ ที่จำเลยที่ ๑ นำสืบว่า จำเลยที่ ๑ ว่าจ้างเหมานายฮั่งเจ็ง แซ่โอ้ว ก่อสร้างตึกพิพาทโดยไม่ได้ทำหนังสือสัญญาจ้าง แล้วโจทก์เข้ามาร่วมทำงานกับนายฮั่งเจ็งในภายหลังนั้นรับฟังไม่ได้ ว่าปัญหาว่าจำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดตามสัญญาดังกล่าวหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ให้รับผิดในฐานะตัวแทนดังกล่าวไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ให้รับผิดในฐานะเป็นตัวแทน แต่ไม่ได้บรรยายมาในคำฟ้องว่ามีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งที่จำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกโดยลำพัง สภาพแห่งข้อหาของข้อหาของโจทก์ที่เกี่ยวข้องกับจำเลย ทั้งหมดจึงไม่อาจบังคับจำเลยที่ ๑ ตามที่โจทก์ขอมาได้นั้น เห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๒ มอบให้จำเลยที่ ๑ ว่าจ้างเหมาโจทก์ก่อสร้างตึกแถว พิพาทตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องด้วย ตามสัญญาดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ได้เป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ในนามของจำเลยที่ ๑ เอง ทั้งจำเลยที่ ๑ ก็ไม่ได้โต้แย้งว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดตามสัญญา เพราะทำในฐานะตัวแทนแต่อย่างใด หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นตัวการทำสัญญาจ้างเหมารายพิพาทนี้เองแล้ว จำเลยที่ ๑ ก็ย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ จึงมีข้อที่จะต้องวินิจฉัยความรับผิดของจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาท้ายฟ้องต่อไป ข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ประเด็นข้อสุดท้ายว่า จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดชำระเงินค่าก่อสร้างตามฟ้องหรือไม่ ข้อนี้ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริง ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียเลยทีเดียว และศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทำงานก่อนสร้างตามสัญญาหมาย จ.๕ ให้แก่จำเลยที่ ๑ แล้วเสร็จคิดเป็นเงิน ๙๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ยังคางชำระเงินโจทก์อีก ๓๑๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๓๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ เงินเสร็จแก่โจทก์

Share