แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องแย้งที่ศาลพึงรับไว้พิจารณาต้องเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมซึ่งหมายความว่าต้องเป็นฟ้องที่อาศัยฟ้องเดิมเป็นมูลแห่งหนี้ หรือต้องมีส่วนสัมพันธ์กับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 3 และมาตรา 179 วรรคท้าย โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 2 เช่าตึกพิพาทจากโจทก์ที่ 1 แล้วให้จำเลยเข้าอยู่อาศัยโดยให้จำเลยชำระค่าเช่าแทน โจทก์ที่ 2 ต้องการตึกพิพาทคืน จำเลยไม่คืนให้ขอให้ขับไล่ จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์ที่ 2 ให้จำเลยเช่าเพื่อทำกิจการค้าขายหนังสือแล้วแบ่งส่วนให้จำเลยเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยโจทก์ที่ 2 ให้จำเลยเป็นผู้ออกเงินค่าตบแต่งตึกพิพาทเป็นการต่างตอบแทน เมื่อโจทก์จะให้จำเลยออกจากตึกพิพาทที่เช่าเพื่อโจทก์ที่ 2 จะทำการค้าเสียเอง โจทก์ที่ 2 จึงต้องชดใช้ค่าตบแต่งตึกพิพาทให้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าหรือนัยหนึ่งอาศัยฟ้องเดิมของโจทก์เป็นมูลหนี้นั่นเอง จึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม พอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้(อ้างฎีกาที่ 442/2511)สมควรที่ศาลจะรับไว้พิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของตึกแถว ให้โจทก์ที่ 2 เช่า โจทก์ที่ 2ให้จำเลยอยู่อาศัยและชำระค่าเช่าแทน ถ้าโจทก์ที่ 2 ต้องการจำเลยต้องส่งมอบคืนให้โจทก์ทันที ต่อมาจำเลยไม่ชำระค่าเช่าให้โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 จะเข้าอยู่อาศัยเอง แต่จำเลยไม่ส่งมอบตึกคืน ขอให้ขับไล่และชดใช้ค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นรับฟ้องเฉพาะโจทก์ที่ 2
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ที่ 1 ไม่ใช่ผู้เช่าตึกพิพาทจากโจทก์ที่ 1บริษัทไทยวัฒนาพาณิชย์ จำกัด เป็นผู้เช่า แต่ให้โจทก์ที่ 2 ใส่ชื่อเป็นผู้เช่า บริษัทไทยวัฒนาพาณิชย์ จำกัด กับโจทก์ที่ 2 ตกลงให้จำเลยเข้าอยู่ในตึกพิพาททำการค้าเป็นตัวแทนจำหน่ายหนังสือแบบเรียน เครื่องเขียนต่าง ๆ ของบริษัทไทยวัฒนาพาณิชย์ จำกัด ขายได้เท่าใดจำเลยได้เปอร์เซ็นต์จากการขาย โดยให้จำเลยชำระค่าเช่ากับให้จำเลยทำการซ่อมแซมตบแต่งสถานที่พิพาทเพื่อทำการค้าเป็นการต่างตอบแทน จำเลยได้ใช้เงินเพื่อการนี้ไปเป็นเงิน 80,000 บาทและชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ที่ 1 ตลอดมา ต่อมาบริษัทไทยวัฒนาพาณิชย์ จำกัดและโจทก์ที่ 2 เริ่มบิดพลิ้วไม่ส่งหนังสือแบบเรียนมาให้จำเลยจำหน่ายและกลั่นแกล้งจำเลยต่าง ๆ เพื่อจะเข้าทำเสียเอง หากโจทก์ต้องการตึกพิพาทคืนก็ต้องชดใช้ค่าที่จำเลยตบแต่งซ่อมแซมสถานที่คืน จำเลยได้ใช้สถานที่นี้ทำการค้ามา 3 ปีแล้ว จึงฟ้องแย้งขอคิดเพียง 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยหรือมิฉะนั้นก็ให้จำเลยได้ทำการค้าในตึกพิพาทต่อไป จนถึงวันที่ 29 มกราคม 2522
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับคำให้การ แต่ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องแย้งมีเงื่อนไข ไม่อาจรวมพิจารณากับฟ้องเดิมได้ ไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หลักเกณฑ์ของฟ้องแย้งที่ศาลพึงรับไว้พิจารณาต้องเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ซึ่งก็หมายความว่าต้องเป็นฟ้องที่อาศัยฟ้องเดิมเป็นมูลแห่งหนี้ หรือต้องมีส่วนสัมพันธ์กับฟ้องเดิม พอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคท้าย คดีนี้จำเลยฟ้องแย้งเรียกค่าตบแต่งสถานที่ตึกพิพาทโดยอ้างว่า โจทก์ที่ 2 ให้จำเลยเช่าตึกพิพาท เพื่อทำกิจการค้าขายหนังสือและแบ่งส่วนให้จำเลยเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยโจทก์ที่ 2ให้จำเลยเป็นผู้ออกเงินค่าตบแต่งตึกพิพาทเป็นการต่างตอบแทน เมื่อโจทก์ที่ 2จะให้จำเลยออกจากตึกพิพาทจะทำการค้าเสียเอง โจทก์ที่ 2 ก็ต้องชดใช้ค่าตบแต่งตึกพิพาทให้จำเลย ดังนี้ จึงเห็นได้ว่าฟ้องแย้งของจำเลยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าหรือนัยหนึ่งอาศัยฟ้องเดิมของโจทก์เป็นมูลแห่งหนี้นั่นเองจึงนับได้ว่าเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิม พอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินไปด้วยกัน ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 422/2511 ระหว่างนางวิภา เกียรติแสงศิลป์โจทก์ นายซือโพย แซ่ปึง จำเลย สมควรที่ศาลจะรับไว้พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม แล้ว
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นให้รับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณา