คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2465/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 32 (2) (4)ให้อำนาจรัฐมนตรีประกาศกำหนดมิให้ใช้เครื่องมือทำการประมงอย่างหนึ่งอย่างใดในที่จับสัตว์น้ำโดยเด็ดขาดและกำหนดวิธีใช้เครื่องมือทำการประมงต่าง ๆ เมื่อรัฐมนตรีได้ประกาศกำหนดเครื่องมือทำการประมงโดยห้ามมิให้ใช้เครื่องมืออวนลากชนิดมีถุงและเครื่องมืออวนรุนหรืออวนถุงทุกขนาดที่ใช้เรือยนต์ทุกชนิดทำการประมงในเขตหรือรัศมีที่ระบุไว้ในการจับสัตว์น้ำโดยเด็ดขาดเรือยนต์ของกลางที่ใช้ทำการประมงในเขตดังกล่าวที่ใช้กับอวนรุนชนิดมีถุงจึงเป็นเครื่องมือทำการประมงที่ห้ามใช้ตามมาตรา 32 (2)และ 70 จึงต้องริบตามมาตรา 70 กรณีหาอยู่ในบังคับของมาตรา 69แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ 2พ.ศ. 2496 มาตรา 10 ที่ให้ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ใช้เรือยนต์ที่มิได้รับใบอนุญาตให้ใช้เรือตามกฎหมายออกจับปลาในท้องทะเลหลวงซึ่งเป็นน่านน้ำไทยและเป็นผู้ควบคุมเรือยนต์และเครื่องจักรเรือยนต์ดังกล่าว โดยมิได้รับประกาศนียบัตรแสดงความรู้อันถูกต้องตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรได้ออกประกาศลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๗โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติการประมงพ.ศ. ๒๔๙๐ กำหนดห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดใช้เครื่องมืออวนลากชนิดมีถุงและเครื่องมืออวนรุน “ละวะ” ชิบหรือรุนกุ้งรุนเคยหรืออวนถุงทุกชนิดและทุกขนาดที่ใช้เรือยนต์ทุกชนิดทำการประมงในเขตระยะ ๑,๐๐๐ เมตร(๒๕ เส้น) นับจากขอบน้ำตามแนวชายฝั่งทะเลขณะที่ทำการประมงและในเขตรัศมี ๒๐๐ เมตร (๕ เส้น) นับออกไปจากอาณาเขตที่ตั้งเครื่องมือประจำที่ทุกชนิดที่ได้รับอนุญาตให้ทำการประมงในทะเลหรือในอ่าวในท้องที่จังหวัดชายทะเลทุกจังหวัดโดยเด็ดขาดปรากฏตามสำเนาประกาศท้ายฟ้อง จำเลยทั้งสองได้ทราบประกาศนั้นแล้ว บังอาจร่วมกันใช้เครื่องมืออวนรุนชนิดมีถุงที่ใช้กับเรือยนต์ลำดังกล่าวทำการประมงในทะเลชายฝั่งห่างจากฝั่งอำเภอยะหริ่งประมาณ ๓๐๐ เมตรซึ่งเป็นที่จับสัตว์น้ำประเภทที่สาธารณประโยชน์อันอยู่ในเขตหวงห้ามที่กำหนดไว้ตามประกาสดังกล่าว เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมเรือยนต์ ๑ ลำ อวนรุน ๑ ถุง อันเป็นเครื่องมือทำการประมงที่ใช้ในการกระทำผิด กับกุ้ง ๑๐ กิโลกรัม และลูกปลา ๒๐ กิโลกรัม อันเป็นสิ่งที่ได้มาโดยการกระทำความผิดเป็นของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ มาตรา ๒๗๗, ๒๗๘, ๒๘๒พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทยแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๗๗มาตรา ๓ ปรับ ๓๐๐ บาท และตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย(ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๔๘๑ มาตรา ๕, ๙ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๕๐ข้อ ๑ ข้อ ๒ ปรับ ๔๐๐ บาท และจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๔, ๖, ๓๒, ๖๐, ๖๕, ๖๙, ๗๐, ๗๑พระราชบัญญัติการประมง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตรา ๑๐ ปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๔๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ อายุ ๑๗ ปี ลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ แล้ว ปรับ ๒๐๐ บาทรวมปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑,๑๐๐ บาท จำเลยทั้งสองรับสารภาพลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๕๕๐ บาท ปรับจำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๑๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ จ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับคนละ ๒๐๐ บาทและ ๑๐๐ บาท ตามลำดับ ถ้าจำเลยไม่เสียค่าปรับหรือเงินบำเหน็จให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าไม่ควรริบเรือของกลาง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าเรือของกลางอยู่ในบังคับบทบัญญัติมาตรา ๖๙แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ ซึ่งศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจริบหรือไม่ริบเรือของกลางก็ได้ จึงไม่ควรริบ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประกาศกระทรวงเกษตรเรื่องกำหนดเขตห้ามใช้เครื่องมืออวนลาก และอวนรุนที่ใช้กับเรือยนต์ทำการประมงท้ายฟ้องนั้นได้ออกประกาศโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐มาตรา ๓๒ (๒)(๔) ซึ่งให้อำนาจรัฐมนตรีประกาศกำหนดมิให้ใช้เครื่องมือทำการประมงอย่างหนึ่งอย่างใดในที่จับสัตว์น้ำโดยเด็ดขาด และกำหนดวิธีใช้เครื่องมือทำการประมงต่าง ๆ เมื่อรัฐมนตรีได้ประกาศกำหนดเครื่องมือทำการประมงที่ห้ามมิให้ใช้เครื่องมืออวนลากชนิดมีถุงและเครื่องมืออวนรุนหรืออวนถุงทุกขนาดที่ใช้เรือยนต์ทุกชนิดทำการประมงในเขตหรือรัศมีที่ระบุไว้ในการจับสัตว์น้ำโดยเด็ดขาดตามประกาศนั้นแล้วเรือยนต์ของกลางที่จำเลยใช้ทำการประมงในเขตดังกล่าวโดยใช้กับอวนรุนชนิดมีถุงจึงเป็นเครื่องมือทำการประมงที่ห้ามใช้ทำการประมงตามมาตรา ๓๒(๒) และมาตรา ๗๐ เพราะเป็นเครื่องมือทำการประมงที่กำหนดห้ามใช้ไว้ให้รู้ ผู้ใดจะใช้ทำการประมงในที่จับสัตว์น้ำภายในเขตหรือรัศมีที่ห้ามไว้มิได้เลย เรือยนต์ของกลางจึงต้องริบตามมาตรา ๗๐กรณีหาอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา ๖๙ แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติการประมง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๖ ซึ่งศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจริบหรือไม่ริบเรือยนต์ของกลางก็ได้ดังที่จำเลยฎีกาไม่
พิพากษายืน

Share