คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2461/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ฟ้องเรียกเงินตามสำเนาสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องผู้กู้ให้การรับว่าได้ทำสัญญากู้ 100,000 บาทจริง แต่รับเงิน 80,000 บาท ผู้ค้ำประกันให้การว่าลงลายมือชื่อโดยเข้าใจว่าเป็นสัญญานายหน้า ดังนี้ ไม่ต้องสืบเอกสารสัญญากู้เป็นพยาน แม้เอกสารปิดอากรแสตมป์แต่ไม่ขีดฆ่าใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ ศาลก็พิพากษาให้ใช้เงิน 100,000 บาทตามที่พิจารณาได้ความได้ แต่บังคับผู้ค้ำประกันไม่ได้

ย่อยาว

จำเลยที่ 1 ให้การว่าได้ทำสัญญากู้ 100,000 บาทท้ายฟ้องจริง แต่ได้รับเงิน 80,000 บาท จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ให้ลงชื่อในเอกสารอ้างว่าเป็นสัญญานายหน้า ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1ใช้เงิน 80,000 บาทเท่าที่ให้การรับดอกเบี้ยที่ค้าง ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “สำหรับฎีกาโจทก์ที่ว่า สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.1 จ.2 ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วน แม้มิได้ขีดฆ่าก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้นั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันรายนี้เป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรซึ่งมาตรา 118 บัญญัติว่า “ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉีกหรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบถ้วนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้และขีดฆ่าแล้ว” ตามบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่า นอกจากตราสารจะต้องปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนแล้ว จะต้องขีดฆ่าแล้วด้วยจึงจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ เมื่ออากรแสตมป์ที่ปิดในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันมิได้มีการขีดฆ่า จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ไม่ได้ ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 2738/2517คดีระหว่างนางกิ้น หิรัญ โจทก์ นายรื่น บัญชาญ จำเลย คดีนี้จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันตามฟ้อง โจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยที่ 2โดยอาศัยสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมิได้ ฎีกาโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น

ส่วนฎีกาโจทก์ที่ขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1ให้การรับว่าได้ทำสัญญากู้ตามที่โจทก์ฟ้องจริงแต่ได้รับเงินเพียง 80,000 บาทจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์โดยมีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือตามสำเนาสัญญากู้ท้ายฟ้อง ไม่ต้องอาศัยฟังจากเอกสารอีก สำเนาสัญญากู้ท้ายฟ้องระบุชัดว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ 100,000 บาท และรับเงินนี้ไปเสร็จแล้วแต่วันทำสัญญา ข้อนำสืบของจำเลยที่ 1 ที่ว่าโจทก์ส่งมอบเงินกู้ให้จำเลยเพียง 80,000 บาท แต่ทำสัญญากู้ไว้เป็นเงิน 100,000 บาทนั้นไม่อาจรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดใช้ต้นเงิน 100,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 153,000 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 100,000 บาทตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาล โดยกำหนดค่าทนายความ4,000 บาทแทนโจทก์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ค่าทนายความชั้นฎีกาของจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ”

Share