แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์แล้ว  จำเลยที่ 2  เข้าทำสัญญาแบ่งซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1  โดยให้ราคาสูงกว่า แล้วจำเลยที่ 2 สมยอมกันทำสัญญายอมความเพื่อให้จำเลยที่ 2 ใช้สิทธิอันไม่สุจริตนำสัญญาไปฟ้องศาลเพื่อขายทอดตลาด  อันเป็นเหตุให้โจทกืบังคับคดีไม่ได้  เมื่อโจทก์ชนะคดีจำเลยที่ 1  ส่วนจำเลยที่ 3  สมยอมกับจำเลยที่ 1  ทำหลักฐานแห่งหนี้ขึ้นฟ้องจำเลยที่ 1  โดยมิได้เป็นหนี้กันจริง  แล้วยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเงินที่จะได้จากการขายทอดตลาดที่ดินแปลงนี้  การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ในคดีแพ่งแดงที่ 107/2503  จำเลยที่ 2  นำยึดที่พิพาทเพื่อขายทอดตลาด  โจทก์ข้องขัดทรัพย์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทกื  อ้างว่าโจทก์อยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิที่พิพาทได้ก่อนจำเลยที่ 2  ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยทั้ง 3 สมคบกันแสดงเจตนาลวง  โดยจำเลยที่ 2  ใช้เล่ห์เพทุบายแย่งซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1  และทำสัญญายอมความกันโดยไม่สุจริต  เพื่อยึดที่พิพาทมาขายทอดตลาด ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญายอมที่นำมาฟ้อง  สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตลอดจนคำขอบังคับเป็นคนละอย่างต่างกัน  ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำฟ้องของโจทก์บรรยายถึงการกระทำของจำเลยทั้ง 3 ว่า  ได้สมคบกันแสดงเจตนาลวง  ทำสัญญาขึ้นโดยไม่สุจริต  เพื่อขัดขวางมิให้โจทก์ได้รับโอนที่พิพาทจากจำเลยที่ 1  ในเมื่อโจทกืชนะคดีจำเลยที่ 1 เป็นการเพียงพอจะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว  ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการครอบครองที่ ๒๖/๓๖๔  ให้โจทก์ในราคา ๓๐,๐๐๐ บาท  จำเลยทั้ง ๓  รู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ ๑  เสียเปรียบ  ได้สมคบกันแสดงแจตนาลวงโดยจำเลยที่ ๒  ได้แย่งซื้อที่ดินแปลงนี้จากจำเลยที่ ๑  ในราคาสูงกว่าที่จำเลยที่ ๑  ตกลงขายให้โจทก์แล้วไปทำโอนกันที่อำเภอ  โจทก์ไปคัดค้านอำเภอสั่งให้โจทก์มาฟ้อง  ประกอบกับจำเลยที่ ๑ บิดพลิ้วไม่ยอมขายที่ให้โจทกืโจทก์จึงฟ้องขออำนาจศาลบังคับ  ตามสำนวนคดีแดงที่ ๑๖๓/๒๕๐๓   และในขณะที่โจทก์กำลังดำเนินคดีอยู่  จำเลยที่ ๑-๒  ได้สมยอมทำสัญญายอมความขึ้นเพื่อให้จำเลยที่ ๒ ใช้สิทธิไม่สุจริตนำสัญญายอมความดั่งกล่าวมาฟ้องต่อศาลเป็นคดีแดงที่ ๑๐๗/๒๕๐๓  เพื่ออาศัยอำนาจศาลยึดที่ดินแปลงนี้ขายทอดตลาดให้พ้นจากการบังคับคดีแก่ตัวทรัพย์ที่พิพาทในคดีของโจทก์  ในเมื่อโจทก์ชนะคดีจำเลยที่ ๑ แล้ว  ส่วนจำเลยที่ ๓ มิได้เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ ๑  ได้สมยอมกับจำเลยที่ ๑ ทำหลักฐานแห่งหนี้ขึ้นฟ้องร้องจำเลยที่ ๑  เป็นคดีแดงที่ ๑๒๖/๒๕๐๓  แล้วยื่นคำร้องขอเฉลี่ยนเงินจากการขายทอดตลาดที่ดินแปลงนี้ซึ่งจำเลยที่ ๒  นำยึดไว้ในสำนวนคดีแดงที่ ๑๐๗/๒๕๐๓ ทั้งนี้  เพื่อจะแบ่งเงินจากการขายทอดตลาดที่ดินแปลงนี้มาเป็นของพวกตนให้มากที่สุด  ทำให้โจทก์ได้รับความาเสียหายและเสียเปรียบ
ขอให้ศาลพิพากษาว่า  สัญญายอมความที่จำเลยที่ ๒ นำมาฟ้องเป็นคดีแดงที่ ๑๐๗/๒๕๐๓  เป็นโมฆะ  และให้เพิกถอนการยึดที่ดินพิพาท  และให้พิพากษาว่าสัญญากู้เงินที่จำเลยที่ ๓  นำมาฟ้องจำเลยที่ ๑  เป็นคดีแดงที่ ๑๒๖/๒๕๐๓  เป็นโมฆะ  ไม่มีสิทธิร้องขอเฉลี่ยได้
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า  ไม่เคยใช้กลฉ้อฉลหรือสมคบกับผู้ใดทำให้โจทก์เสียเปรียบโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย  ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ
จำเลยที่ ๒  ให้การว่า  ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม  ตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ ๑๐๗/๒๕๐๓  โจทก์ยื่นคำร้องยึดทรัพย์ ศาลสั่งยกคำร้อง  คดีถึงที่สุดแล้ว  โจทก์จึงไม่มีอำนาจขอให้ศาลสั่งถอนการยึด  โจทก์ฟ้องคดีนี้ซ้ำกับคดีก่อน
จำเลยที่ ๓  ให้การว่า  จำเลยมิได้สมคบกับผู้ใด  จำเลยไม่ได้ใช้กลฉ้อฉลทำให้โจทก์เสียหาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วินิจฉัยว่า  โจทก์มีอำนาจฟ้อง  ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม  ฟังข้อเท็จจริงว่า  จำเลยที่ ๒ ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ ๑  โดยไม่สุจริตโจทก์ชอบที่จะขอให้เพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๒๓๗  สัญญากู้เงินที่จำเลยที่ ๓ นำมาฟ้องจำเลยที่ ๑  ตามคดีแดงที่ ๑๒๖/๒๕๐๓ ก็เป็นการสมคบกันทำโดยมิได้เป็นหนี้จริง  พิพากษาว่า  สัญญายอมความที่จำเลยที่ ๒  นำมาฟ้องจำเลยที่ ๑  และคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งแดงที่ ๑๐๗/๒๕๐๓  ไม่ผูกพันโจทก์ในการที่จะบังคับจำเลยที่ ๑  โอนทรัพย์สินที่พิพาทให้โจทก์   ให้เพิกถอนการยึดที่ดินพิพาทตามทะเบียนการครอบครองที่ ๒๖/๓๖๔  ในคดีแดงที่ ๑๐๗/๒๕๐๓ เสีย  จำเลยที่ ๓ ไม่มีสิทธิเอาสัญญากู้และคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งแดงที่ ๑๒๖/๒๕๐๓ มาขอเฉลี่ย  และบังคับคดีแก่ทรัพย์สินที่พิพาทซึ่งยึดไว้ในคดีแพ่งแดงที่ ๑๐๗/๒๕๐๓
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓  อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์ฟ้อง  คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ว่า
๑.  โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่
๒.  โจทก์ฟ้องซ้ำกับคำร้องขัดทรัพย์ของโจทก์ในคดีแพ่งแดงที่ ๑๐๗/๒๕๐๓  หรือไม่
๓.  ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
๔.  สัญญาประนีประนอมที่จำเลยที่ ๑ กับที่ ๒  ทำกันไว้แล้วนำมาฟ้องศาลเป็นคดีแพ่งแดงที่ ๑๐๗/๒๕๐๓  นั้น  ได้ทำโดยสุจริตเพื่ออาศัยคำพิพากษายึดทรัพย์  เพื่อไม่ให้โจทก์บังคับคดีรับซื้อที่พิพาทหรือไม่
๕.  จำเลยที่ ๑ กับที่ ๓  ได้ทำสัญญากู้โดยสมยอมกันจริงหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ตามฎีกาข้อ ๑  โจทก์บรรยายฟ้องว่า  จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์แล้ว  จำเลยที่ ๒  ได้เข้าทำสัญญาแย่งซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ ๑ โดยให้ราคาสูงกว่า  แล้วจำเลยที่ ๑ ที่ ๒  ได้สมยอมกันทำสัญญายอมความขั้น  เพื่อให้จำเลยที่ ๒  ได้สิทธิอันไม่สุจริต  นำสัญญายอมความดังกล่าวไปฟ้องต่อศาล  เป็นคดีแดงที่ ๑๐๗/๒๕๐๓  เพื่อขายทอดตลาดอันเป็นเหตุให้โจทก์ขอบังคับคดีไม่ได้ในเมื่อโจทก์ชนะคดีจำเลยที่ ๑  ส่วนจำเลยที่ ๓  ก็สมยอมกับจำเลยที่ ๑ ทำหลักฐานแห่งหนี้ขึ้นฟ้องจำเลยที่ ๑  โดยมิได้เป็นหนี้กันจริง  แล้วยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเงินที่จะได้จากการขายทอดตลาดที่ดินแปลงนี้  เพื่อประสงค์จะแบ่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาเป็นของพวกตนให้มากที่สุดเป็นที่คาดหมายได้ว่า จะมีการสู้ราคาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ อันจะทำให้ราคาขายสูงขึ้นผิดปกติ  ศาลฎีกาเห็นว่า เห็นได้ชัดว่าการกระทำของจำเลยย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย  โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ตามฎีกาข้อ ๒  ศาลฎีกาเห็นว่า  ในคดีแพ่งแดงที่ ๑๐๗/๒๕๐๓  จำเลยที่ ๒  นำยึดที่พิพาทเพื่อขายทอดตลาด  โจทก์ร้องขัดทรัพย์อ้างว่า  ที่พิพาทเป็นของโจทก์  โจทก์อยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิที่พิพาทได้ก่อนจำเลยที่ ๒ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๐  จำเลยที่ ๒ จึงไม่มีสิทธิยึดที่พิพาท  ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยทั้ง ๓ สมคบกันแสดงเจตนาลวง  โดยจำเลยที่ ๒ ใช้เล่ห์เพทุบายแย่งซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ ๑  แล้วทำสัญญายอมความกันโดยไม่สุจริต  เพื่อยึดที่พิพาทมาขายทอดตลาด  ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญายอมความที่นำมาฟ้องตามคดีแดงที่ ๑๐๗/๒๕๐๓  สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตลอดจนคำขอบังคับ  เป็นคนละอย่างต่างกัน  ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ตามฎีกาข้อ ๓  ศาลฎีกาเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายชัดแจ้งถึงการกระทำของจำเลยทั้ง ๓ ว่า  ได้สมคบกันแสดงเจตนาลวง  ทำสัญญาขึ้นโดยไม่สุจริต  เพื่อขัดขวางมิให้โจทก์ได้รับโอนที่พิพาทจากจำเลยที่ ๑ ในเมื่อโจทก์ชนะคดี  เป็นการเพียงพอจะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว  ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ตามฎีกาข้อ ๔  ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า  จำเลยที่ ๑ ที่ ๒  สมคบกันแสดงเจตนาลวง ทำสัญญาประนีประนอมรับสภาพหนี้  เพื่อให้จำเลยที่ ๑ ถูกฟ้องและตามฎีกาข้อ ๕  ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า  จำเลยทั้ง ๓  ได้สมคบกันให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๓  แสดงเจตนาลวง  ทำสัญญากู้เงิน  โดยมิได้เป็นหนี้จริง.
พิพากษายืน.

