แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน แล้วผู้ซื้อเข้าไปปลูกเรือนลงในที่ดินนั้น ต่อมาเจ้าของที่ดินนำที่ดินและเรือนไปขายฝากผู้อื่น ผู้ซื้อที่ดินจึงมาฟ้องผู้ขายและผู้รับซื้อฝากขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝาก ในที่สุดยอมความกัน โดยให้ผู้ขายทำการไถ่ถอนที่ดินและเรือนคืนเพื่อไปโอนขายให้แก่ผู้ซื้อที่ดิน ดังนี้ย่อมทำให้สิทธิเรียกร้องเดิมสิ้นไป คงได้สิทธิตามสัญญายอมความและเป็นการรับรองการขายฝากนั้นเมื่อครบกำหนด ผู้ขายไม่ไถ่และผู้ซื้อที่ดินไม่เข้าสรวมสิทธิ ที่ดินและเรือนจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อฝาก และกรณีเช่นนี้ผู้ซื้อที่ดินจะมาฟ้องเรียกค่าแห่งที่ดินที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ ทั้งจะมาฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝากก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
คดี ๒ สำนวนนี้ พิจารณาพิพากษารวมกันสำนวนแรกนางพาณีเป็นโจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับซื้อฝากที่ดินและเรือน ๒ ชั้นกับครัวไฟไว้จาก ร.ยิ่งเมื่อ ๑๖ ก.ค. ๙๗ กำหนดไถ่ ๑ ปี ครั้น ๑๔ ก.ค.๙๘ จำเลยฟ้องร.ต.ยิ่งกับโจทก์ต่อศาลแพ่ง กล่าวว่า ร.ต.ยิ่งทำสัญญารับมัดจำจะขายที่ดินให้จำเลย ๆ ได้เข้าปลูกเรือนอยู่ ร.ต.ยิ่งกับโจทก์สมยอมกันโดย ร.ต.ยิ่งเอาที่ดินและเรือนขายฝากโจทก์ ในที่สุดโจทก์และจำเลย ร.ต.ยิ่ง ได้ทำสัญญายอมความกันว่า ร.ต.ยิ่งยอมไถ่หรือซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคืนจากโจทก์มาโอนขายแก่จำเลยภายใน ๒ เดือน และจำเลยต้องชำระราคาที่ค้างแก่ ร.ต.ยิ่ง พ้นกำหนด ร.ต.ยิ่งไม่ไถ่ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างหลุดเป็นของโจทก์ จึงขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย
น.ส.บุษบงจำเลยให้การและเป็นโจทก์ฟ้อง ร.ต.ยิ่งและนางพาณีเป็นจำเลยใจความว่า เมื่อ ๑๗ ก.ค.๙๖ ร.ต.ยิ่งทำสัญญาจะขายที่ดินให้ น.ส.บุษบง วางมัดจำไว้ ๒๕,๐๐๐ บาท ตกลงโอนใน ๔ เดือน วันที่ ๑ ธ.ค. ๙๖ ร.ต.ยิ่งขอผัดโอนและให้ น.ส.บุษบงเข้าปลูกบ้านอยูได้ ต่อมา ๑๖ ก.ค.๙๗ ร.ต.ยิ่งกับนางพาณีสมยอมกันโดยทำสัญญาขายฝาก นางพาณีรับซื้อไว้ เป็นเหตุให้ น.ส.บุษบงผู้อยู่ในฐานะจะจดทะเบียนสิทธิในที่ดินอยู่ก่อนเสียเปรียบและเสียหาย น.ส.บุษบงพร้อมที่จะชำระเงินที่ดินที่ยังเหลือแก่ ร.ต.ยิ่งตามสัญญายอม แต่ ร.ต.ยิ่ง ไม่ไถ่ถอนโอนให้ น.ส.บุษบง ๆ บอกให้ ร.ต.ยิ่งและนางพาณีทราบ ก็เพิกเฉย เรือนสร้างเป็นเงิน ๗๖,๙๔๒ บาท โดยสุจริต หากถือว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของร.ต.ยิ่งหรือนางพาณี ก็ให้ใช้ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นเป็นเงิน ๑๐๙,๕๘๒ บาท ขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝาก แล้วให้ ร.ต.ยิ่งโอนกรรมสิทธิ์แก่ น.ส.บุษบงขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝาก แล้วให้ ร.ต.ยิ่งโอนกรรมสิทธิ์แก่ น.ส.บุษบง
ร.ต.ยิ่งให้การว่าฟ้องของ น.ส.บุษบงเป็นฟ้องซ้ำ และเรียกค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นไม่ได้
นางพาณีให้การว่าฟ้องของ น.ส.บุษบงเป็นฟ้องซ้ำ ร.ต.ยิ่งไม่ได้ไถ่ภายในกำหนดจึงไม่มีสิทธิฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่ น.ส.บุษบงกับบริวารออกจากที่ดินและเรือนพิพาทและให้ค่าเสียหายแก่นางพาณีเดือนละ ๕๐๐ บาท แต่ พ.ย.๙๘ จนกว่าจะออกไป ยกฟ้องคดีที่ น.ส.บุษบงเป็นโจทก์
น.ส.บุษบงอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
น.ส.บุษบงฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน โดยวินิจฉัยว่า น.ส.บุษบงกับนางพาณีและร.ต. ยิ่งเคยพิพาทกันในเรื่องที่ดินและเรือนพิพาท ในที่สุดได้ทำสัญญายอมความกันให้ ร.ต.ยิ่งไถ่ถอนการขายฝากหรือซื้อคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรายพิพาทจากนางพาณีแล้วนำมาโอนขายให้แก่ น.ส.บุษบงภายใน ๒ เดือนย่อมทำให้สิทธิเรียกร้องที่มีอยู่เดิมสิ้นไป คงได้สิทธิตามสัญญายอมความและเป็นการรับรองการขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างระหว่าง ร.ต.ยิ่งกับนางพาณี เมื่อ ร.ต.ยิ่งไม่ไถ่และน.ส.บุษบงไม่เข้าสรวมสิทธิของ ร.ต.ยิ่ง ที่ดินและเรือนพิพาทก็ตกเป็นกรรมสิทธิของนางพาณี เมื่อเป็นเช่นนี้สิทธิที่จะได้ค่าที่ดินและโรงเรือนเพิ่มขึ้นย่อมระงับไปตามสัญญายอมความนั้น และน.ส.บุษบงเคยฟ้อง ร.ต.ยิ่งกับนางพาณีในเรื่องที่ดินและเรือนพิพาทจนทำสัญญายอมความและมีคำพิพากษาตามยอมระงับข้อพิพาทเด็ดขาดไปแล้วเช่นนี้ น.ส.บุษบงจึงมาฟ้องอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๑๔๘