คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9145/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ บัญญัติคำนิยามของคำว่า จำหน่าย หมายความว่า ขาย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ให้ ซึ่งมีความหมายกว้างกว่าการซื้อขายตาม ป.พ.พ. แม้เป็นการจ่าย แจก ซึ่งไม่มีค่าตอบแทนก็ถือว่าเป็นการจำหน่าย แสดงว่าถือเอาการส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายเป็นสำคัญ แม้จะมีการตกลงซื้อขายกัญชากันแล้ว แต่สายลับยังไม่ได้ส่งมอบเงินให้แก่จำเลยทั้งสอง และจำเลยทั้งสองเพียงเอากัญชาของกลางจากที่ซ่อนเพื่อให้สายลับดูยังไม่ทันได้ส่งมอบกัญชาของกลางให้แก่สายลับ เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับจำเลยทั้งสองกับพวกเสียก่อน ทั้งกัญชาของกลางที่ยึดไว้มีเพียง 40 กิโลกรัม ไม่ครบจำนวน 50 กิโลกรัม ตามที่สายลับตกลงซื้อจากพวกของจำเลยทั้งสอง การที่สายลับเพียงแต่ได้ดูกัญชาของกลาง ยังถือไมได้ว่าเป็นการส่งมอบกัญชาของกลางโดยปริยาย การซื้อขายกัญชาของกลางระหว่างจำเลยทั้งสองและพวกกับสายลับจึงไม่สำเร็จบริบูรณ์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายกัญชาของกลาง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7 (5), 8, 26, 75, 76 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 75 วรรคหนึ่ง (เดิม), 76 วรรคสอง (เดิม) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทแต่ละบทมีระวางโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันจำหน่ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 14 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 75 วรรคหนึ่ง (เดิม), 76 วรรคสอง (เดิม) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 8 ปี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นที่ยุติตามที่โจทก์นำสืบโดยที่จำเลยทั้งสองไม่ได้ฎีกาคัดค้านว่า ก่อนจับกุมพวกของจำเลยทั้งสองมาตรวจนับเงินที่สายลับตกลงซื้อกัญชาจำนวน 50 กิโลกรัม ราคา 290,000 บาท ที่บ้านของสายลับแล้วนัดหมายจะส่งมอบกัญชาที่ซื้อขายที่บ้านจำเลยที่ 2 ในวันรุ่งขึ้น เมื่อถึงวันนัดสายลับไปพบจำเลยที่ 2 ที่บ้านจำเลยที่ 2 แล้วมีจำเลยที่ 1 กับพวกตามมาสมทบนั่งคุยกันบนบ้าน ต่อมาจำเลยทั้งสองเดินไปแบกกระสอบปุ๋ยคนละ 1 กระสอบ นำไปวางไว้ใต้กอไผ่หลังบ้าน ห่างจากบ้านประมาณ 20 เมตร จากนั้นจำเลยทั้งสองขึ้นไปนั่งคุยกับสายลับและพวกของจำเลยบนบ้านได้ 5 นาที คนทั้งสี่ลงมาจากบ้านเดินตรงไปดูที่กระสอบปุ๋ยดังกล่าว สายลับเดินไปยืนที่ข้างบ้านแล้วยกมือเกาศีรษะส่งสัญญาณให้ร้อยตำรวจเอกชาติชาย เพราะบุญ กับพวกจับจำเลยทั้งสองกับพวกได้ พร้อมกัญชาในกระสอบปุ๋ยกระสอบละ 20 แท่ง หนักแท่งละประมาณ 1 กิโลกรัม รวมประมาณ 40 กิโลกรัม เป็นของกลาง คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดฐานจำหน่ายกัญชาสำเร็จแล้วหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองกับพวกตกลงซื้อขายกัญชาของกลางกันแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 458 การซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์ไม่จำเป็นต้องส่งมอบกัญชาให้ครอบครองและเป็นความผิดสำเร็จ มิใช่เพียงพยายามจำหน่ายกัญชานั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 บัญญัติคำนิยามของคำว่า จำหน่าย หมายความว่า ขาย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ให้ ซึ่งมีความหมายกว้างการซื้อขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แม้เป็นการจ่าย แจก ซึ่งไม่มีค่าตอบแทนก็ถือว่าเป็นการจำหน่าย แสดงว่าถือเอาการส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายเป็นสำคัญ คดีนี้แม้จะฟังได้ว่ามีการตกลงซื้อขายกัญชาแล้ว แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าสายลับยังไม่ได้ส่งมอบเงินให้แก่จำเลยทั้งสองกับพวกและจำเลยทั้งสองกับพวกเพียงแต่เอากัญชาของกลางจากที่ซ่อนเพื่อให้สายลับดู ยังไม่ทันได้ส่งมอบกัญชาของกลางให้แก่สายลับแต่อย่างใด เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับจำเลยทั้งสองกับพวกเสียก่อน ทั้งกัญชาของกลางที่ยึดไว้มีเพียงประมาณ 40 กิโลกรัม ตามที่สายลับตกลงซื้อจากพวกของจำเลยทั้งสอง การที่สายลับเพียงแต่ได้ดูกัญชาของกลางยังถือไม่ได้ว่าเป็นการส่งมอบกัญชาของกลางโดยปริยาย การซื้อขายกัญชาของกลางระหว่างจำเลยทั้งสองและพวกกับสายลับจึงยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายกัญชาของกลาง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share