คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8969/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีนี้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ในเนื้อหาแห่งคดี แต่เป็นเรื่องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลแก่จำเลย ซึ่งผลการอุทธรณ์ไม่ทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นต้องถูกยกไปด้วย จึงมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยจะต้องวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5 ) ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247
ข้ออ้างของจำเลยในคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลต่อศาลชั้นต้นในวันที่ 25 มิถุนายน 2547 ว่าจำเลยเพิ่งทราบคำสั่งศาลเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2547 ประกอบกับจำเลยมีฐานะยากจนมาก ไม่สามารถจะหาเงินค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มาวางต่อศาลได้ทันภายในระยะเวลาที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตไว้แล้วนั้น พฤติการณ์ดังที่จำเลยอ้างนั้นยังถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีมีพฤติการณ์พิเศษตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ที่ศาลจะมีอำนาจสั่งขยายระยะเวลาการวางเงินค่าธรรมเนียมให้ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินยืมจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2541 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 มิถุนายน 2544) ต้องไม่เกิน 85,000 บาท ตามที่โจทก์ขอ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 12604 ตำบลกู่สวนแตง อำเภอ (พุทไธสง) บ้านใหม่ไชยพจน์ จังหวัดบุรีรัมย์ ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าจำเลยยังพอมีเงินเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ จำเลยมิได้ยากจนจริงให้ยกคำร้องของจำเลย หากจำเลยประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายในวันที่ 23 มกราคม 2547 จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย หากจำเลยยังติดใจอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 10 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งนี้ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2547 วันที่ 8 มิถุนายน 2547 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลออกไปอีก 90 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินออกไปเพียงครั้งเดียวถึงวันที่ 25 มิถุนายน 2547 ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2547 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลออกไปอีก 30 วัน อ้างว่า จำเลยเพิ่งทราบคำสั่งเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2547 ประกอบกับจำเลยมีฐานะยากจนมากไม่สามารถจะหาเงินค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มาวางต่อศาลได้ทันภายในระยะเวลาที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตไว้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายในกำหนด 10 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง ต่อมาจำเลยขอขยายระยะเวลาในการนำเงินมาชำระออกไปอีก 10 วัน (ที่ถูก 90 วัน) ซึ่งศาลก็ได้มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาการนำเงินมาชำระออกไปเพียงครั้งเดียวถึงวันนี้ กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาออกไปอีก จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง (ที่ถูกต้องทำเป็นอุทธรณ์)
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ในเนื้อหาแห่งคดี แต่เป็นเรื่องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลแก่จำเลย ซึ่งผลของการอุทธรณ์ไม่ทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นต้องถูกยกไปด้วย จึงมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยจะต้องวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์โดยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลอุทธรณ์ของจำเลยย่อมเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ปัญหาดังกล่าวแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247 คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในประการต่อไปตามฎีกาของจำเลยว่า มีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรามเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยหรือไม่ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะยังมิได้วินิจฉัยในปัญหานี้ แต่เมื่อคดีเข้ามาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้วและพยานหลักฐานในสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดี ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรพิจารณาพิพากษาคดีไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาพิพากษาคดีใหม่ เห็นว่า ข้ออ้างของจำเลยในคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลต่อศาลชั้นต้นในวันที่ 25 มิถุนายน 2547 ว่า ตัวจำเลยเพิ่งทราบคำสั่งศาลเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2547 ประกอบกับจำเลยมีฐานะยากจนมาก ไม่สามารถจะหาเงินค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มาวางต่อศาลได้ทันภายในระยะเวลาที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตไว้แล้วนั้น พฤติการณ์ดังที่จำเลยอ้างนั้นยังถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีมีพฤติการณ์พิเศษตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ที่ศาลจะมีอำนาจสั่งขยายระยะเวลาการวางเงินค่าธรรมเนียมให้ได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้บังคับตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share