คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4812/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสามทำสัญญาจ้างโจทก์ให้ทำงานตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2545 ถึงวันที่ 30 มีนาคม 2548 ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายเอกสาร ต่อมาวันที่ 1 ธันวาคม 2546 จำเลยทั้งสามมีหนังสือเลิกสัญญาจ้างแก่โจทก์ให้มีผลเป็นการเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2547 เนื่องจากจำเลยทั้งสามมีความจำเป็นต้องลดรายจ่ายหรือตัดทอนรายจ่ายลง โดยอ้างว่าการเลิกจ้างเป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาจ้าง ซึ่งตามข้อตกลงในสัญญาจ้างดังกล่าว คือ สัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.2 หรือ ล.7 ที่ระบุว่า “การสิ้นสุดสัญญาจ้างอาจจะเกิดขึ้นได้ก่อนวันสิ้นสุดสัญญาตามข้อตกลงเนื่องจากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งหรือหลายเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ (ก) การตัดทอนรายจ่าย – การเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากขาดตำแหน่งที่เหมาะสมแก่การใช้ทักษะของลูกจ้าง” ดังนั้น การเลิกจ้างโจทก์ตามข้อตกลงดังกล่าวจึงต้องปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่าจำเลยทั้งสามไม่มีตำแหน่งที่เหมาะสมแก่การใช้ทักษะในการทำงานของโจทก์ อีกทั้งจะต้องปรากฏว่ากรณีการเลิกจ้างดังกล่าวมีเหตุแห่งการเลิกจ้างและเป็นเหตุอันสมควรที่นายจ้างจะเลิกจ้างด้วย ซึ่งศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสามประสบปัญหาด้านการเงินจึงต้องลดค่าใช้จ่ายและไม่สามารถหาตำแหน่งที่เหมาะสมกับค่าจ้างให้โจทก์ต่อไปได้ การที่จำเลยทั้งสามเลิกจ้างโจทก์จึงมิใช่กรณีที่ขาดตำแหน่งที่เหมาะสมกับทักษะการทำงานของโจทก์ เป็นแต่เพียงขาดตำแหน่งที่เหมาะสมกับค่าจ้างของโจทก์ และการเลิกจ้างโจทก์เพราะจำเลยทั้งสามประสบปัญหาด้านการเงินนั้น ก็ยังไม่ปรากฏว่าประสบปัญหาเพียงใด ถึงขนาดมีความจำเป็นต้องเลิกจ้างลูกจ้างหรือไม่ และตามหนังสือเลิกจ้างให้เหตุผลในการเลิกจ้างโจทก์ คือ ตามแผนการตัดทอนค่าใช้จ่าย ดังนั้น การจะพิจารณาว่าที่จำเลยทั้งสามเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ จึงต้องให้ได้ข้อเท็จริงว่า จำเลยทั้งสามประสบปัญหาด้านการเงินเพียงใด มีความจำเป็นต้องเลิกจ้างลูกจ้างหรือไม่ มีแผนการตัดทอนค่าใช้จ่ายอย่างไร ได้ดำเนินการตามแผนการดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร และจำเลยทั้งสามขาดตำแหน่งที่เหมาะสมแก่ทักษะการทำงานของโจทก์หรือไม่ อย่างไร อันเป็นข้อเท็จจริงที่จะใช้วินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ จึงให้ย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าว แล้วดำเนินการต่อไปตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 56 วรรคสองหรือวรรคสาม แล้วแต่กรณี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวน 5,360,294.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสามใช้สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งกับแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งทำนองเดียวกันขอให้ยกฟ้องและขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินคืนจำนวน 9,218.08 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ 374,585.89 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ได้รับเงินจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยทั้งสาม
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา คู่ความแถลงสละประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งเคลือบคลุมและแถลงรับกันว่า จำเลยทั้งสามได้ชำระค่าชดเชยให้โจทก์จำนวน 11,250.41 ดอลลาร์สหรัฐ แล้ว
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องและฟ้องแย้ง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสามประกอบธุรกิจร่วมกันเป็นกิจการร่วมค้าใช้ชื่อว่า กิจการร่วมค้าไอดีเอส มีวัตถุประสงค์รับติดตั้งระบบไฟฟ้าสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2545 โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยทั้งสาม โดยทำสัญญาจ้างเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2545 ตกลงให้โจทก์ทำงานตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2545 ถึงวันที่ 30 มีนาคม 2548 ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายเอกสาร ทำหน้าที่ควบคุมงานด้านเอกสาร ได้รับค่าจ้างเดือนละ 8,700 ดอลลาร์สหรัฐ โดยแบ่งเป็นค่าแรง 7,200 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าที่พัก 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเดินทาง 500 ดอลลาร์สหรัฐ จ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือนหรือภายในวันที่ 10 ของเดือน ต่อมาวันที่ 1 ธันวาคม 2546 จำเลยทั้งสามมีหนังสือเลิกสัญญาจ้างแก่โจทก์ให้มีผลเป็นการเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2547 จำเลยทั้งสามให้โจทก์ทำบัญชีเงินค่าตอบแทนจากการเลิกจ้างก่อนครบกำหนดสัญญาจ้าง และจำเลยทั้งสามจ่ายเงินตามบัญชีดังกล่าวแก่โจทก์จนครบถ้วนแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ว่า การที่จำเลยทั้งสามเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2.1 ถึงข้อ 2.5 โดยอ้างถึงการแปลความสัญญาจ้างข้อ 10.1 (ก) ว่า หมายถึง หากลูกจ้างมีความสามารถน้อยลงโดยนายจ้างไม่มีตำแหน่งที่เหมาะสมกับความสามารถที่น้อยลงของลูกจ้างนายจ้างจึงจะเลิกสัญญาจ้างก่อนกำหนดได้ และการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางขัดกับข้อเท็จจริงในสำนวนและขัดต่อกฎหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์ยังมีความสามารถในการทำงานและจำเลยทั้งสามยังให้โจทก์ทำงานในตำแหน่งอื่นได้ จำเลยทั้งสามไม่เคยมีแผนตัดทอนรายจ่ายโดยการลดกำลังคน กิจการของจำเลยทั้งสามเพียงแต่ขาดสภาพคล่องทางการเงินแต่ไม่ได้ขาดทุน เงินเดือนโจทก์เมื่อเทียบกับสภาพงานที่โจทก์ต้องรับผิดชอบ ความสามารถและประสบการณ์ของโจทก์แล้วไม่ถือว่าสูงเกินไป และเมื่อจำเลยทั้งสามเลิกจ้างโจทก์แล้วได้จ้างบุคคลอื่นมาทำหน้าที่แทนโจทก์และจ้างลูกจ้างเพิ่มในส่วนวิศวกร จึงไม่ได้ตัดทอนรายจ่ายโดยลดลูกจ้างและแสดงว่าตำแหน่งของโจทก์มีความสำคัญจึงต้องมีการจ้างลูกจ้างเพิ่ม เห็นว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้งสามแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามมีความจำเป็นต้องลดรายจ่ายหรือตัดทอนรายจ่ายลง แม้มิได้เป็นความผิดของโจทก์ แต่เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาจ้าง จึงเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุผลสมควรตามข้อตกลงในสัญญาจ้าง ถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งตามข้อตกลงในสัญญาจ้างดังกล่าวมีความว่า “ข้อ 10.0 การเลิกสัญญา 10.1 เหตุผลของการเลิกจ้าง ตามเงื่อนไขที่กำหนดต่อไปนี้ การสิ้นสุดสัญญาจ้างอาจจะเกิดขึ้นได้ก่อนวันสิ้นสุดสัญญาตามข้อตกลงเนื่องจากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งหรือหลายเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ (ก.) การตัดทอนรายจ่าย – การเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากขาดตำแหน่งที่เหมาะสมแก่การใช้ทักษะของลูกจ้าง” ดังนั้น ในการเลิกจ้างโจทก์ตามข้อตกลงในสัญญาดังกล่าวจึงต้องปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่าจำเลยทั้งสามไม่มีตำแหน่งที่เหมาะสมแก่การใช้ทักษะในการทำงานของโจทก์ อีกทั้งจะต้องปรากฏว่ากรณีการเลิกจ้างดังกล่าวมีเหตุแห่งการเลิกจ้างและเป็นเหตุอันสมควรที่นายจ้างจะเลิกจ้างด้วย ซึ่งศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสามประสบปัญหาด้านการเงินจึงต้องลดค่าใช้จ่ายและไม่สามารถหาตำแหน่งที่เหมาะสมกับค่าจ้างให้โจทก์ต่อไปได้ การที่จำเลยทั้งสามเลิกจ้างโจทก์จึงมิใช่กรณีที่ขาดตำแหน่งที่เหมาะสมกับทักษะการทำงานของโจทก์ เป็นแต่เพียงขาดตำแหน่งที่เหมาะสมกับค่าจ้างของโจทก์ และการเลิกจ้างโจทก์เพราะจำเลยทั้งสามประสบปัญหาด้านการเงินนั้นก็ยังไม่ปรากฏว่าประสบปัญหาเพียงใด ถึงขนาดมีความจำเป็นต้องเลิกจ้างลูกจ้างหรือไม่ และตามสำเนาหนังสือเลิกจ้างให้เหตุผลในการเลิกจ้างโจทก์คือตามแผนการตัดทอนค่าใช้จ่าย ดังนั้น การจะพิจารณาว่าที่จำเลยทั้งสามเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ จึงต้องให้ได้ข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสามประสบปัญหาด้านการเงินเพียงใด มีความจำเป็นต้องเลิกจ้างลูกจ้างหรือไม่ มีแผนการตัดทอนค่าใช้จ่ายอย่างไร ได้ดำเนินการตามแผนการดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร และจำเลยทั้งสามขาดตำแหน่งที่เหมาะสมแก่ทักษะการทำงานของโจทก์หรือไม่ อย่างไร อันเป็นข้อเท็จจริงที่จะใช้วินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ เห็นควรให้ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นให้ครบถ้วนเสียก่อน
จึงให้ย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางวิจฉัยรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วดำเนินการต่อไปตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 56 วรรคสองหรือวรรคสาม แล้วแต่กรณี ในชั้นนี้ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลฎีกา.

Share