แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นสามีของจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองร่วมกันประกอบการค้าที่ดินโดยการจัดสรรขาย ส. ตกลงซื้อที่ดินจัดสรรได้ทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายกันไว้โดยฝ่ายจำเลย มีแต่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อคนเดียว แม้กระนั้นจำเลยที่ 2 ก็ไม่อาจอ้างได้ว่าที่ดินนั้นมีชื่อจำเลยที่ 2 คนเดียว ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจทำสัญญาขายให้แก่ใครได้ โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ยินยอมด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474
การที่ผู้จะขายที่ดินผิดนัดไม่โอนที่ดินให้แก่ผู้จะซื้อตามสัญญานั้นไม่ถือเป็นเหตุโดยปกติ ที่ทำให้ผู้จะซื้อต้องเสียค่าเช่าบ้านที่เช่าคนอื่นอยู่และถ้าจะถือว่าเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ ก็ต้องปรากฏว่าผู้จะขายได้คาดเห็นหรือควรได้คาดเห็นอยู่ก่อนแล้ว ผู้จะขายจึงจะต้องชดใช้ให้
ผู้จะซื้อทรัพย์มีหน้าที่ต้องมีเงินมาชำระค่าทรัพย์ที่จะซื้อนั้นอยู่แล้ว ถ้าผู้จะซื้อไปกู้เงินเขามาชำระต้องเสียดอกเบี้ย เรื่องดอกเบี้ยนั้นย่อมเป็นภาระส่วนตัวของผู้จะซื้ออันมีอยู่แล้วก่อนผิดนัด การที่ผู้จะขายผิดนัดไม่โอนทรัพย์ที่จะขายให้ ไม่เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้ผู้จะซื้อต้องไปเสียดอกเบี้ย ผู้จะซื้อจะเรียกให้ผู้จะขายชดใช้ให้เป็นค่าเสียหายหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากัน ร่วมกันจัดตั้งสำนักงานการค้าใช้ชื่อว่า “สำนักงานประดิษฐ์ผล” มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดสรรที่ดินขาย โดยมีจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินแปลงที่ ๑๑ ซึ่งเป็นที่ดินส่วนหนึ่งในโฉนดเลขที่ ๓๖๒๐อันเป็นโฉนดที่จำเลยที่ ๒ มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมเป็นบางส่วนให้แก่นายสมัย อ่วมบำรุง เป็นเงิน ๔๘,๐๕๐ บาท นายสมัยได้ชำระเงินมัดจำและผ่อนส่งค่าที่ดินตามสัญญามาได้ ๗ งวด แล้วได้โอนสิทธิตามสัญญาให้แก่โจทก์เข้าสวมสิทธิเป็นผู้จะซื้อต่อไป ได้ทำบันทึกการรับโอนช่วงสิทธิกันไว้เป็น ๓ ฝ่าย ต่อมาโจทก์ได้ชำระเงินให้แก่จำเลยที่ ๑ไปอีก ๑๐ งวด เหลืองวดสุดท้ายที่จะต้องชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโจทก์แจ้งวันนัดโอนไปยังจำเลยที่ ๒ แล้ว จำเลยไม่ปฏิบัติการโอนให้เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายที่ต้องเช่าบ้านคนอื่นอยู่ เสียค่าเช่าเดือนละ ๕๕๐ บาท เงินที่เอามาซื้อที่ดินนั้นก็กู้เขามาต้องเสียดอกเบี้ยที่ดินรายนี้บัดนี้ราคาสูงขึ้นแล้ว ขอให้บังคับให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์หากโอนไม่ได้ ให้จำเลยร่วมกันใช้เงินค่าทดแทนที่ดิน ๗๔,๔๐๐ บาทให้ใช้ค่าเสียหายให้เดือนละ ๕๕๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะโอนที่ดินหรือชำระเงินทดแทนกับให้เสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่โจทก์จ่ายให้จำเลยไปแล้ว ๔๖,๗๐๓ บาทด้วย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นความจริง จำเลยที่ ๑ ไม่ได้บิดพลิ้ว แต่ที่ดินนั้นเป็นชื่อของจำเลยที่ ๒ แม้จำเลยที่ ๒ จะเป็นภริยาของจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่ ๑ ก็ไม่มีอำนาจบังคับจำเลยที่ ๒ ได้ จำเลยที่ ๒ประกอบการค้าร่วมกับจำเลยที่ ๑ ในการขายที่ดินพิพาทนี้ จำเลยที่ ๒จึงต้องรับผิดโดยตรงต่อโจทก์โดยคิดเอาจากสินส่วนตัวของจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ เป็นภริยาจำเลยที่ ๑ จริง แต่แยกกันอยู่มาราว ๒ ปีแล้ว จำเลยที่ ๑ จะได้จดทะเบียนการค้าใช้ชื่อสำนักงานประดิษฐ์ผล มีวัตถุประสงค์ดังโจทก์อ้างหรือไม่ ไม่รับรองหากจดก็ไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ เพราะสำนักงานประดิษฐ์ผลมิได้มีนิติสัมพันธ์อันใดกับโจทก์ สัญญาจะซื้อขายท้ายฟ้องจะเป็นความจริงอย่างใด จำเลยที่ ๒ ไม่ทราบ และไม่รับรอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ เพราะที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจะขายแก่โจทก์เป็นการส่วนตัว โดยจำเลยที่ ๒ ไม่รู้เห็นยินยอมและรับเงินจากโจทก์ จำเลยที่ ๒ จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์และมิได้โต้แย้งสิทธิโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ถ้าไม่สามารถโอนได้ ก็ให้ร่วมกันใช้ค่าทดแทนเป็นเงิน ๗๔,๔๐๐ บาทและให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๕๕๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะโอนที่ดินให้หรือจนกว่าจะชำระเงินค่าทดแทนให้ กับให้ร่วมกันใช้ดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่โจทก์ให้แก่จำเลยไปแล้ว ๔๖,๗๐๓ บาท ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนถึงวันโอนที่ดินหรือวันชำระค่าทดแทนเสร็จ
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เงินค่าทดแทน ๗๔,๔๐๐ บาทนั้น ยังไม่ถูกต้องเพราะโจทก์ยังไม่ได้ชำระเงินงวดสุดท้ายให้จำเลยไป ต้องหักออกจากจำนวนที่จะให้จำเลยใช้แก่โจทก์ พิพากษาแก้เป็นว่าถ้าจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินให้โจทก์ ก็ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าทดแทนให้โจทก์เป็นเงิน ๗๓,๐๕๓ บาท นอกจากที่แก้ คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า สำนักงานประดิษฐ์ผลเป็นสำนักงานค้าที่ดินโดยการจัดสรร จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากัน ได้ร่วมทุนและร่วมกันเป็นผู้ประกอบการค้ารายนี้ นายสมัย อ่วมบำรุง ไปติดต่อที่สำนักงานเพื่อจะซื้อที่ดินจัดสรร พบจำเลยทั้งสองและตกลงซื้อที่ดินกัน นายสมัยมอบเงินมัดจำให้จำเลยที่ ๒ ก่อน ๕,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ พิมพ์ใบรับเงินเอาให้จำเลยที่ ๒ กรอกข้อความ แล้วจำเลยที่ ๑ ลงชื่อเป็นผู้รับเงิน ต่อมานายสมัยไปที่สำนักงานอีก พบจำเลยที่ ๑ คนเดียว ได้ชำระค่าที่ดินให้ ๑๙,๐๐๐ บาทเศษ และได้ทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินรายที่ฟ้องนี้นายสมัยชำระเงินต่อมาได้ ๗ งวด ก็โอนสิทธิตามสัญญาจะซื้อขายให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ขัดข้อง และได้ทำบันทึกลงชื่อไว้เป็น ๓ ฝ่าย คือโจทก์ นายสมัยและจำเลยที่ ๑ ต่อมาโจทก์ชำระเงินงวดต่อมาจนครบงวดที่ ๑๗ ครั้นจะชำระงวดที่ ๑๘ อันเป็นงวดที่จำเลยต้องโอนที่ดินให้ด้วยจำเลยที่ ๑ ขอผัด อ้างว่าโฉนดมีชื่อจำเลยที่ ๒ และต่อมาบอกว่าจำเลยที่ ๒ ไม่รับรู้ จึงโอนไม่ได้ โจทก์นัดให้จำเลยที่ ๒ ไปโอนแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ไป
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่าไม่ต้องรับผิดตามสัญญาที่จำเลยที่ ๑ ทำกับนายสมัยซึ่งโจทก์เข้ารับช่วงแทนที่นายสมัย เพราะแม้จำเลยที่ ๒ เป็นภริยาจำเลยที่ ๑ แต่ที่ดินนั้นมีชื่อจำเลยที่ ๒ คนเดียวจำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจขายให้ใครโดยจำเลยที่ ๒ ไม่ยินยอมด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๔ มาตรา ๑๔๗๔ เป็นข้อยกเว้นของมาตรา ๑๔๗๓ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า บทบัญญัติที่จำเลยที่ ๒ อ้างมานี้เป็นเรื่องที่ว่าด้วยสามีจะมีอำนาจเอาสินบริคณห์ที่มีชื่อของภริยาไปจำหน่ายได้เพียงไร เป็นคนละเรื่องกับคดีนี้ ซึ่งโจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยที่ ๒ จัดสรรที่ดินทำการค้าร่วมกับจำเลยที่ ๑ ผู้เป็นสามี จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดตามสัญญาการค้าที่จำเลยที่ ๑ กระทำไปนั้นด้วย และเมื่อจำเลยที่ ๒ มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงที่จะขายนั้นไว้แล้วไม่ยอมไปทำการโอนขายให้ตามสัญญา โจทก์จึงต้องฟ้องขอให้บังคับข้ออ้างของจำเลยที่ ๒ นั้น จึงเป็นข้อที่เอามาโต้แย้งหักล้างกันไม่ได้ เมื่อกรณีฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ ทำการค้าร่วมกับจำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๒ ก็ต้องรับผิดตามสัญญา ในกิจการค้าที่จำเลยที่ ๑ ลงลายมือชื่อไปคนเดียวนั้นด้วยและอันที่จริงในการเริ่มต้นที่จะมีหนังสือสัญญารายนี้ จำเลยที่ ๒ ก็ได้เกี่ยวข้องด้วยตัวเองจะเอาเหตุอื่นมาปฏิเสธความรับผิดในฐานเป็นผู้ค้าร่วมด้วยไม่ได้
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ ๒ เรื่องค่าเสียหายที่โจทก์ว่าโจทก์ต้องเช่าบ้านคนอื่นอยู่เดือนละ ๕๕๐ บาท ขอให้บังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเท่าค่าเช่าจนกว่าจำเลยจะโอนที่ดินหรือใช้ราคาที่ดินให้นั้น เห็นว่า การผิดนัดผิดสัญญาของจำเลยไม่ใช่เป็นเหตุโดยปกติที่เห็นได้ว่าทำให้โจทก์ต้องไปเสียค่าเช่า หากจะถือว่าเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้คาดเห็นหรือควรได้คาดเห็นอยู่ก่อนแล้ว ส่วนค่าเสียหายที่โจทก์เรียกเอาในฐานที่โจทก์ต้องกู้เงิน ๔๖,๗๐๓ บาทจากคนอื่นโดยเสียดอกเบี้ยเอามาชำระให้จำเลยนั้น เห็นว่า การผิดนัดผิดสัญญาเรื่องโอนที่ดินนี้ไม่ใช่เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้โจทก์ต้องไปเสียดอกเบี้ยเช่นนั้นเพราะโจทก์มีหน้าที่ต้องมีเงินมาชำระเป็นค่าที่ดินอยู่ก่อนแล้ว หากไปกู้เขามา เรื่องดอกเบี้ยก็เป็นภาระส่วนตัวของโจทก์อันมีอยู่แล้วก่อนผิดนัดผิดสัญญา ไม่ใช่เป็นเรื่องเกิดขึ้นเพราะมีการผิดนัดผิดสัญญารายพิพาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องเฉพาะเรื่องค่าเสียหายที่โจทก์เรียกเอาแก่จำเลยที่ ๒