แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์ จับจำเลยได้พร้อมด้วยของกลางซึ่งจำเลยลักหรือรับไว้โดยรู้ว่าได้มาจากการกระทำผิด เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อคืนระหว่างวันที่ 5-6 มิถุนายน 2494 จำเลยสมคบกับนายดี โพธิ์พันธ์ (ซึ่งถูกฟ้องไปแล้ว) มีปืนเป็นศาสตราวุธลักยางรถยนต์พร้อมทั้งวงกะทะอันเป็นเครื่องอุปกรณ์ล้อราคา 3,000 บาท ของโรงเลื่อยท่าตูม ซึ่งอยู่ในความอารักขาควบคุมดูแลและจัดการของโจทก์ไป เหตุเกิดในบริเวณโรงเลื่อยนั้นที่ตำบลท่าตูม อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี ครั้นต่อมาในวันที่ 6 ตุลาคม 2494 เวลากลางวันจับจำเลยและนายดีได้พร้อมด้วยของกลาง ซึ่งจำเลยกับนายดีสมคบกันลักไปดังกล่าวแล้ว หรือมิฉะนั้นตามวันเวลาดังกล่าวแล้วจำเลยได้บังอาจรับของกลางนั้นไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 293-321 ฯ
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วชี้ขาดว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมและพยานหลักฐานในข้อเท็จจริงก็ยังฟังลงโทษไม่ได้ ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นด้วยว่า คำฟ้องเคลือบคลุมจริง ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงจึงพิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ที่กล่าวมาในรูปนี้ย่อมขัดตัดแย้งกันในตัวตอนต้นว่า จำเลยลัก ตอนหลังว่าจำเลยรับของโจรถ้าจำเลยลักจำเลยก็ไม่ได้รับของโจร หรือกลับกัน ถ้าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมั่นคงว่าจำเลยเป็นผู้ลักมาเองแล้ว ก็ควรจะกล่าวเพียงข้อเท็จจริงให้จะแจ้ง เพื่อให้ศาลวินิจฉัยการครอบครองของกลางตามเวลาห่างชิดจากเวลาของหาย คำฟ้องข้อนี้เคลือบคลุม ไม่อาจทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ตามนัยเช่นในคำพิพากษาฎีกาที่ 1914/2494 ในระหว่างนายซีปิ้น แซ่ลิ่ม โจทก์ นายสวัสดิ์ ราชมณี จำเลย
จึงพิพากษายืน