แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ท้าทายแล้วจำเลยกับพวกต่างทยอยกันเข้าต่อสู้ทำร้ายกับผู้บาดเจ็บในทันทีทันใดไม่ได้สมคบกัน จำเลยไม่ต้องร่วมรับโทษในบาดแผลที่คนอื่นกระทำให้สาหัส หรือในทุกๆ แผลรวมกันจนเป็นเหตุให้รับทุกขเวทนาถึงสาหัส
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันใช้มีดเหรียญ มีดดาบปลายแหลมและไม้ตระบองเป็นศาสตราวุธฟันและตีนายเลิศ โฉมอินทร์เป็นบาดแผลถึงสาหัสเมื่อคืนวันที่ 19 ต่อ 20 กันยายน 2494 ที่ตำบลวังงิ้ว อำเภอบางมูลนากจังหวัดพิจิตร ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังสมฟ้อง จำเลยมีความผิดฐานสมคบกันทำร้ายนายเลิศถึงบาดเจ็บสาหัสตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 256 ให้จำคุกคนละ 2 ปี ลดฐานปรานีเพราะคำรับจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาตามมาตรา 59 ลง 1 ใน 3 คงให้จำคุกจำเลยคนละ 1 ปี 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังไปในทำนองมีการท้าทายแล้วทำร้ายกันขึ้นในทันทีทันใดยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยสมคบกันทำร้ายนายเลิศ ตามคำพยานทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีมีผู้ใดยืนยันว่าจำเลยคนใดทำแผลไหน แม้บาดแผลนายเลิศจะถึงสาหัสก็ตาม ควรวินิจฉัยให้เป็นผลดีแก่จำเลย คือแต่ละคนโดยมีมีดบ้างไม้บ้างทำร้ายนายเลิศมีบาดเจ็บจึงแก้ให้ลงโทษตามมาตรา 254 จำคุกคนละปี ลดฐานปรานี 1 ใน 3 เหลือคนละ 8 เดือน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจปรึกษาแล้ว นายเลิศถูกทำร้ายคราวนี้มีบาดแผล 6 แห่งถึงตาซ้ายบอด และรับทุกขเวทนาไม่สามารถประกอบอาชีพตามปกติเกินกว่า20 วันเข้าลักษณะสาหัส และก็เห็นด้วยกับศาลล่างทั้ง 2 ว่าจำเลยได้เข้ากระทำร้ายด้วย
แต่ใครจะทำตรงแผลไหนคำพยานไม่ยุติ เพราะสับสนชุลมุนกันในกลางดึก ในงานทอดผ้าป่ามีรำวงที่วัดคอตัน เหตุที่จะเกิดทำร้ายกันนี้น่าเชื่อตามคำนายชูพยานจำเลยซึ่งนายเริ่ม อุปถัมภ์นายอำเภอผู้สอบสวนรับรองว่าเป็นคนกลาง ๆ เบิกว่าชั้นต้นก็ต่างท้าทายกันก่อน ระหว่างนายน้อยและนายเลิศ แล้วนายกุนเข้าทำร้ายกันกับนายเลิศ จำเลยกับคนอื่นอีกบางคนพลอยเข้าสมทบต่อ ๆ กันไปสักครู่ 1 ก็เลิกราหนีไป เหลือแต่นายเลิศล้มนอนไม่ได้สติอยู่ เพราะเพลี่ยงพล้ำเสียทีเขา
ที่นายเลิศว่า ชั้นแรกนายน้อยท้าทายว่า ใครจะตีกับกูก็มาไม่มีใครตอบ ทันทีนั้นนายกุนก็เข้าฟัน แล้วจำเลยก็กรูเข้าทำร้ายเป็นทำนองว่าฝ่ายจำเลยรุมเข้ากระทำร้ายข้างเดียว อย่างนี้ดูไม่น่าจะสมเหตุผล น่าเชื่อตามคำพยานคนกลางว่านายเลิศได้รับคำท้าด้วยแล้ว จึงต่างเข้าต่อสู้ทำร้ายกัน เพราะขณะนั้นนายเลิศเมาถือปืนสั้น ใช้ปืนนั้นยิงอีกด้วย และตามคำผู้ใหญ่บ้านปกครองนายเลิศ ก็ว่านายเลิศนี้ไม่ใช่คนเรียบร้อย แต่ขี้เมาเกะกะปกครองยากส่วนจำเลยเป็นลูกบ้านที่เรียบร้อย คราวถูกสอบสวนก็เข้าหาเจ้าพนักงานเอง ปืนที่นายเลิศถือเป็นปืนเถื่อน ดังนี้
ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วยศาลอุทธรณ์ว่า เหตุเกิดขึ้นในทันทีทันใดจำเลยด้วย คนอื่นอีกด้วย ต่างคนต่างเข้าต่อสู้ทำร้ายกับนายเลิศ มิได้สมคบกันยังไม่ควรจะต้องรับบาปร่วมรับผิดชอบในบาดแผลที่คนอื่นกระทำให้สาหัสหรือในทุก ๆ แผลรวมกัน จนเป็นเหตุให้รับทุกขเวทนา มีอาการถึงสาหัสนั้น จึงพิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์