แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยรับข้าวเปลือกไว้จากผู้อื่นโดยรู้ว่าเป็นของร้ายอันได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือฉ้อโกง  นั้น  ถือว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องครบองค์ความผิดฐานรับของโจร  ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5)  แล้ว  จึงไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม
ข้อเท็จจริงฟังว่า  จำเลยใช้ผู้อื่นไปลักทรัพย์หรือฉ้อโกงนั้น  ถือว่าจำเลยเป็นตัวการด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ดังนั้น  เมื่อจำเลยรับทรัพย์นั้นจากผู้ที่จำเลยใช้  ถือว่าเป็นการรับทรัพย์ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกรรมอันเดียวกับความผิดฐานลักทรัพย์หรือฉ้อโกง  ที่จำเลยเป็นผู้ใช้นั้นเอง    จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  นายเม่านายผัดหลอกลวงภริยาโจทก์  ว่าโจทก์ให้มาขนข้าวเปลือก  ภริยาโจทก์ไม่ยินยอม  แต่คนทั้งสองก็ยังขนไป  ต่อมาจำเลยรับข้าวเปลือกนั้นไว้จากนายเม่านายผัด  โดยรู้ว่าเป็นของได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือฉ้อโกง  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ฟ้องโจทก์กล่าวชัดว่าจำเลยรับข้าวเปลือกไว้จากนายเม่านายผัด  โดยรู้ว่าเป็นของร้ายอันได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือฉ้อโกง  กรณีเช่นนี้ถือได้ว่าครบองค์ความผิดฐานรับของโจร  ชอบด้วยมาตรา ๑๕๘ (๕)  แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว  ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม  แต่แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ใช้นายเม่านายผัดไปลักทรัพย์หรือฉ้อโกงข้าวเปลือกของโจทก์ก็ตาม  จำเลยก็หามีความผิดฐานรับของโจรไม่เพราะการที่จำเลยใช้เขาไปกระทำผิดนั้น  ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๓  ถือว่าเป็นตัวการร่วมกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือฉ้อโกงแล้ว  การที่จำเลยรับเอาข้าวเปลือกจากคนทั้งสองไว้นั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากกรรมอันเดียวกับความผิดฐานลักทรัพย์หรือฉ้อโกงที่ว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ให้กระทำผิดนั้นเอง  จำเลยจึงหามีความผิดฐานรับของโจรอีกไม่
พิพากษายืน

