แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
1. เรื่องความขาดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลซึ่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลบัญญัติโยงไปใช้เรื่องความขาดคุณสมบัติของผู้สมัครตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2499 นั้น แม้ต่อมามีรัฐธรรมนูญบัญญัติเรื่องลักษณะของบุคคลผู้ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนไว้เป็นอย่างอื่น ก็ไม่กระทบกระเทือนถึงเรื่องความขาดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลซึ่งถือว่าพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลบัญญัติเรื่องนี้ไว้เป็นเอกเทศ
2. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลพุทธศักราช 2482มาตรา 21 ตามที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2501 นั้นไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 89
(ข้อ 2 เป็นมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 32/2513)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า จำเลยเป็นผู้ขาดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครธนบุรี และให้สั่งให้จำเลยพ้นจากสมาชิกภาพแห่งสภาเทศบาลนครธนบุรีเพื่อจะได้จัดให้มีการเลือกตั้งและแต่งตั้งซ่อมในตำแหน่งที่ว่างต่อไป จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยมีสิทธิสมัคร
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยเป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล ให้จำเลยพ้นจากสมาชิกภาพแห่งสภาเทศบาลนครธนบุรี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า จำเลยพ้นโทษจำคุกมากว่า ๕ ปีแล้ว พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๒๑ ตามที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๐๑ มาตรา ๙ ประกอบด้วยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๔๙๙มาตรา ๒๐ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในวันเลือกตั้ง อันเป็นกรณีแห่งคดีนี้ขัดกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา ๘๙ จำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครธนบุรี ขอให้พิพากษากลับ
ได้ความว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดธนบุรีได้ประกาศให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครธนบุรี กำหนดวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๑๑ เป็นวันเลือกตั้ง จำเลยยื่นใบสมัครเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๑๑ รับรองว่าตนมีคุณสมบัติและมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามกฎหมาย กับมิได้แจ้งว่าเคยถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเจ้าหน้าที่จึงรับสมัครไว้จำเลยได้รับเลือกตั้งด้วย และได้ปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งแล้ว ภายหลังปรากฏว่าก่อนสมัครรับเลือกตั้งจำเลยเคยถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดมาแล้วรวม ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑, ๒ ฐานลักทรัพย์ จำคุก ๑ ปีและ ๒ ปีพ้นโทษเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ และวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๐๒ครั้งที่ ๓ ฐานหลบหนีที่ควบคุมจำคุก ๒ เดือน พ้นโทษเมื่อวันที่ ๒๗มีนาคม ๒๕๐๔
ศาลฎีกาเห็นว่า จริงอยู่ขณะที่จำเลยยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งนั้นได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบันแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๑๑ และมาตรา ๘๙ แห่งรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า “บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง คือ ฯลฯ (๔) เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกตั้งแต่สองปีขึ้นไปโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีในวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท” แต่บทบัญญัติดังกล่าวในรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องความขาดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน มิใช่เรื่องความขาดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลซึ่งเป็นปัญหาในคดีนี้ พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลพุทธศักราช ๒๔๘๒ ซึ่งได้แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๑ มาตรา ๙ บัญญัติว่า”ผู้ขาดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งให้เป็นไปเช่นเดียวกับผู้ขาดคุณสมบัติของผู้สมัครตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้นก็คือพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ. ๒๔๙๙ เฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ มาตรา ๒๐(๕) ซึ่งบัญญัติว่า”ผู้ถูกจำคุกหรือเคยถูกจำคุกตั้งแต่หกเดือนขึ้นไปตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และพ้นโทษไปถึงวันรับสมัครรับเลือกตั้งยังไม่ครบสิบปี หรือผู้ถูกจำคุกหรือเคยถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกตั้งแต่สองครั้งขึ้นไป ทั้งนี้ เว้นแต่ความผิดลหุโทษหรือ ความผิดที่มีกำหนดโทษชั้นลหุโทษหรือความผิดอันได้กระทำโดยประมาท” บทบัญญัติดังกล่าวนี้จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความขาดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล ฉะนั้น แม้ต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบันได้กำหนดเรื่องลักษณะของบุคคลผู้ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนไว้เป็นประการอื่นดังที่ปรากฏตามมาตรา ๘๙(๔) ก็ตาม ก็มิได้กระทบกระเทือนถึงเรื่องความขาดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลแต่ประการใด เหตุผลดังกล่าวจะเห็นได้ชัดยิ่งขึ้น เมื่อภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญและภายหลังการเลือกตั้งในคดีนี้แล้ว ได้มีพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๑๑มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ ซึ่งถูกแก้ไขแล้วนั้น และให้ใช้ข้อความเกี่ยวกับลักษณะของบุคคลผู้ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งดังที่บัญญัติขึ้นใหม่แทน แสดงให้เห็นว่าเกี่ยวกับความขาดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนั้น พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลบัญญัติขึ้นต่างหากเป็นเอกเทศ มิได้อาศัยบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบันที่เกี่ยวกับลักษณะของบุคคลผู้ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๒๑ ตามที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ ๔)พ.ศ. ๒๕๐๑ นั้น หาขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา ๘๙ ไม่
พิพากษายืน