คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2183/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยนำส่งเงินที่ขาดบัญชีต่อโจทก์มิใช่เป็นการแจ้งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เพราะขณะนั้นโจทก์ยังไม่ทราบว่าผู้ใดประมาทเลินเล่อและต้องรับผิดชอบบ้าง แต่เมื่อโจทก์มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบทางแพ่งแล้วคณะกรรมการทำรายงานเสนอโจทก์ว่าจำเลยต้องรับผิดร่วมกัน ส. โดยโจทก์ลงนามทราบรายงานของคณะกรรมการดังกล่าวเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2529 แล้วมีหนังสือแจ้งให้จำเลยชดใช้เงินตามฟ้องให้แก่โจทก์นั้น ถือว่าโจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วตั้งแต่วันที่ 8ตุลาคม 2529 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2530 คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมในรัฐบาลสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนผู้ใหญ่เตรียมอุดมศึกษาเป็นโรงเรียนของโจทก์จำเลยได้รับแต่งตั้งจากโจทก์ให้รักษาการในตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนผู้ใหญ่เตรียมอุดมศึกษาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2522เป็นต้นมาจนถึงวันฟ้อง มีหน้าที่ควบคุมดูแลรับผิดชอบในการบริหารงานของโรงเรียนทั้งหมด ตลอดจนด้านการเงินทุกประเภทของโรงเรียนเมื่อระหว่างปีการศึกษา 2525 ถึงปี 2528 จำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ โดยปฎิบัติหน้าที่ด้วยความบกพร่อง ปล่อยปละละเลยไม่ควบคุมตรวจสอบการปฎิบัติหน้าที่ราชการของนายสมพงษ์ สง่างามให้เป็นไปตามระเบียบราชการ ไม่ควบคุมการรับเงินบำรุงการศึกษาจากนักศึกษานำส่งกองคลังของโจทก์ตามระเบียบ ไม่ควบคุมให้นายสมพงษ์จัดทำสมุดบัญชีแสดงรายการการรับเงินบำรุงการศึกษาสมุดบัญชีเงินสด สมุดบัญชีเงินคงเหลือประจำวันให้ครบถ้วนถูกต้องและไม่ควบคุมให้มีการเก็บรักษาเงินที่อยู่ในอำนาจของโรงเรียนให้เป็นไปตามระเบียบราชการ เป็นเหตุให้นายสมพงษ์รับเงินบำรุงการศึกษาแล้วนำฝากคลังบางส่วน และทุจริตเบียดบังยักยอกเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว 435,740.01 บาท การกระทำของจำเลยเป็นการปฎิบัติหน้าที่ราชการด้วยความบกพร่องประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 435,740.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์รู้ถึงการกระทำละเมิดและรู้ตัวผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2529มิใช่ทราบเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2529 คดีโจทก์จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 435,740.01 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทราบว่าจำเลยต้องร่วมรับผิดชดใช้เงินที่ขาดไปในวันที่ 8 ตุลาคม 2529ซึ่งเป็นวันที่อธิบดีกรมโจทก์ลงชื่อทราบในรายงานการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งก่อนหน้านั้นโจทก์ทราบแต่เพียงว่านายสมพงษ์ได้กระทำความผิด แต่ยังไม่ทราบว่าจำเลยต้องร่วมรับผิดด้วย โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 30 กันยายน 2530คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ทราบว่าจำเลยต้องรับผิดในวันที่ 14 พฤษภาคม 2529 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยส่งเงิน 401,437.50 บาท แก่โจทก์นั้นหนังสือดังกล่าวเป็นเพียงหนังสือแจ้งให้ผู้อำนวยการโรงเรียนผู้ใหญ่เตรียมอุดมศึกษาซึ่งจำเลยรักษาการอยู่นำส่งเงินบำรุงการศึกษาที่ขาดบัญชีให้โจทก์เท่านั้น มิใช่แจ้งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เพราะในขณะนั้นโจทก์ยังไม่ทราบว่าใครประมาทเลินเล่อและต้องรับผิดชอบบ้าง อายุความจึงยังไม่เริ่มนับคำพิพากษาฎีกาที่ 1868/2527 คดีระหว่าง กรมวิชาการเกษตร โจทก์นายพักตร นองวัตร กับพวก จำเลย ที่จำเลยอ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้
พิพากษายืน

Share