คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 684/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยตกลงขายเฮโรอีนจำนวน 3 ห่อให้แก่สายลับ และรับเงินค่าเฮโรอีนมาใส่กระเป๋ากางเกงไว้แล้ว แต่ขณะหยิบถุงพลาสติกซึ่งบรรจุเฮโรอีนไว้ 69 ห่อ ขึ้นมาจากที่ซ่อนยังไม่ได้แยกเฮโรอีนจำนวนห่อจากจำนวน 69 ห่อ ส่งมอบให้แก่สายลับ จำเลยก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมเสียก่อน การซื้อขายเฮโรอีนระหว่างจำเลยกับสายลับจึงยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ การกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานพยายามจำหน่ายเฮโรอีนจำนวน 3 ห่อดังกล่าวเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15, 66, 67, 102 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 4 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 ลงวันที่ 17 กันยายนพ.ศ. 2522 เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ข้อ 1(1) ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 และให้สั่งคืนเงินของกลางจำนวน50 บาท ที่ใช้ล่อซื้อให้แก่เจ้าพนักงานและริบเฮโรอีนของกลางจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนจำคุกกระทงละ 10 ปี รวมจำคุก 20 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี ริบเฮโรอีนของกลางคืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี ให้ยกฟ้องข้อหาจำหน่ายเฮโรอีน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงคงฟังได้เป็นยุติตามที่โจทก์นำสืบ (ประกอบคำรับสารภาพ) ว่า จำเลยตกลงขายเฮโรอีนให้สายลับและรับเงินค่าเฮโรอีนจากสายลับใส่กระเป๋ากางเกงไว้แล้ว แต่ขณะหยิบถุงพลาสติกซึ่งบรรจุเฮโรอีนไว้ 69 ห่อขึ้นมาจากที่ซ่อนยังไม่ทันส่งมอบเฮโรอีนตามจำนวนที่ตกลงขายให้แก่สายลับก็ถูกร้อยตำรวจโทภิรมย์และร้อยตำรวจตรีบรรจงจับเสียก่อนมีปัญหาว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนสำเร็จแล้วหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า จำเลยตกลงขายเฮโรอีนทั้งได้รับเงินจากสายลับเป็นเงิน 50 บาทไปแล้ว การขายจ่ายแจกเป็นอันเสร็จเด็ดขาดทั้งจำเลยก็ให้การรับสารภาพต่อศาล ไม่ได้ต่อสู้คดีมาตั้งแต่ชั้นจับกุมชั้นสอบสวน ได้รับเงินค่าขายเฮโรอีนไปใส่กระเป๋ากางเกงเป็นความผิดสำเร็จแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อสายลับเข้าเจรจากับจำเลยเพื่อขอซื้อเฮโรอีน จำเลยได้รับเงินค่าเฮโรอีน 50 บาท ไว้และได้นำสายลับไปยังที่ซ่อนเฮโรอีนเพื่อจะมอบเฮโรอีนให้แก่สายลับขณะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมจำเลยยังไม่ได้แยกเฮโรอีนจำนวน 3 ห่อจากจำนวนรวม 69 ห่อ มาส่งมอบให้แก่สายลับ แม้จำเลยจะได้แบ่งแยกไว้เป็นห่อเล็ก ๆ พร้อมที่จะส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อก็ตาม แต่เฮโรอีนทั้งหมดก็รวมอยู่ในถุงพลาสติก จำเลยยังไม่ได้มอบเฮโรอีนจำนวน 3 ห่อให้แก่สายลับ การซื้อขายเฮโรอีนระหว่างจำเลยกับสายลับจึงยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ เมื่อจำเลยถูกจับกุมเสียก่อน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามจำหน่ายเฮโรอีน 3 ห่อ ดังกล่าวแล้วที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยจำหน่ายเฮโรอีนและพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกระทงเดียว ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามจำหน่ายเฮโรอีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคแรกประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 อีกกระทงหนึ่ง โดยให้ลงโทษจำคุก 4 ปี รวมเป็นจำคุก 10 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนและชั้นศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share