คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 975/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งเป็นพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ในข้อหาดูหมิ่นหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ โดยบรรยายฟ้องเป็นสองตอน คือตอนแรกเป็นข้อความที่อ้างว่าโจทก์เป็นผู้กล่าวซึ่งได้ระบุไว้ในเครื่องหมายอัญประกาศ ส่วนตอนหลังมีใจความเป็นการแปลหรืออธิบายความหมายของข้อความในตอนแรก ดังนี้ เมื่อพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ประกอบด้วยแล้ว แสดงว่าข้อความที่พนักงานอัยการระบุไว้ในเครื่องหมายอัญประกาศ คือ ‘ถ้อยคำพูด’ ที่พนักงานอัยการต้องกล่าวไว้ในฟ้องตามบทกฎหมายดังกล่าว และข้อความตอนหลังเป็นการอธิบายความหมายเท่านั้น เมื่อข้อความที่โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยบรรยายฟ้องอันเป็นความเท็จเป็นส่วนหนึ่งของคำบรรยายฟ้องในตอนหลังและมีลักษณะเป็นการอธิบายความหมายด้วยเช่นกัน จึงเห็นได้ว่าข้อความที่โจทก์อ้างว่าเป็นเท็จนั้นพนักงานอัยการมีความประสงค์จะอธิบายความหมายของถ้อยคำพูดของโจทก์เท่านั้น แม้จะใช้ถ้อยคำผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปบ้าง กรณีก็ไม่อาจถือได้ว่าพนักงานอัยการยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จ ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 และจำเลยย่อมไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์แต่อย่างใด กับไม่มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นอธิบดีกรมอัยการ จำเลยที่ 2 เป็นรองอธิบดีกรมอัยการ จำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นอัยการพิเศษประจำกรม จำเลยที่ 1 มีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้ดำเนินคดีฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญา จำเลยทั้งสี่ร่วมกันเสนอคำฟ้องต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ว่า
(ก) ในคำฟ้องของจำเลยข้อ 1 (ก) จำเลยบรรยายฟ้องว่า’และ (จำเลยซึ่งเป็นโจทก์คดีนี้) ได้กล่าวต่อนายศิว์ณัฐพงศ์วัฒนาชีพ และประชาชนอีกหลายคนซึ่งเป็นบุคคลที่สามว่าทุกพระองค์มีแต่ความสุขสบายไม่ทรงทำอะไร ตอนเย็นก็เข้าห้องเย็น (หมายถึงห้องที่มีเครื่องทำความเย็น) ฯลฯ’
(ข) ในคำฟ้องข้อ 1 (ข) จำเลยบรรยายฟ้องว่า ‘และ (จำเลยซึ่งเป็นโจทก์คดีนี้) ได้กล่าวต่อ ร.ต.ท. วิเชียร เฉลิมรมย์ และประชาชนอีกหลายคนซึ่งเป็นบุคคลที่สามว่าทุกพระองค์มีแต่ความสุขสบาย ไม่ต้องมาพูดให้ประชาชนฟังจนคอแหบคอแห้งฯลฯ’ อันเป็นข้อความเท็จ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 84, 91, 175, 200, 157, 326, 328 และ 332 กับให้โฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รายวันเป็นเวลา 15 วันติดต่อกันโดยจำเลยทั้งสี่เป็นผู้ชำระค่าโฆษณา
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนมูลฟ้อง ครั้นถึงวันนัด ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดการไต่สวนมูลฟ้อง แล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาข้อกฎหมายมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องนั้นเป็นความผิดตามบทมาตราที่โจทก์ขอให้ลงโทษหรือไม่ ปรากฏว่าฟ้องของพนักงานอัยการจังหวัดบุรีรัมย์ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2831/2529 ของศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งโจทก์ในในข้อหาความผิดฐานดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ พระราชินีและรัชทายาท และบรรยายฟ้องว่าจำเลย (โจทก์คดีนี้) กระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือ (ก) เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2529เวลากลางวัน จำเลยได้กระทำการโฆษณาหาเสียง…ในท่ามกลางประชาชนที่มาฟังจำนวนหลายคน ซึ่งตอนหนึ่งจำเลยได้บังอาจกล่าวว่า ‘…ผมถ้าเลือกเกิดเองได้ผมจะไปเลือกเกิดทำไมเป็นลูกชาวนาจังหวัดสงขลา จะไปเลือกเกิดอย่างนั้นทำไม ถ้าเลือกเกิดได้ก็เลือกเกิดมันใจกลางพระบรมมหาราชวังนั่น ออกมาเป็นพระองค์เจ้าวีระซะก็หมดเรื่องไม่จำเป็นจะต้องออกมายืนตากแดดพูดให้พี่น้องฟัง เวลาอย่างนี้เที่ยงๆ ก็เข้าห้องเย็นเสวยเสร็จก็บรรทมไปแล้ว ตื่นอีกทีก็บ่ายสามโมง ที่มายืนกลางแดดอยู่ทุกวันนี้ก็มันเลือกเกิดไม่ได้…’ ฯลฯและได้กล่าวต่อนายศิว์ณัฐพงศ์ วัฒนาชีพ และประชาชนอีกหลายคนซึ่งเป็นบุคคลที่สามว่า ทุกพระองค์มีแต่ความสุขสบายไม่ทรงทำอะไร ตอนเที่ยงก็เข้าห้องเย็น (หมายถึงห้องที่มีเครื่องทำความเย็น) เสวยเสร็จก็บรรทม ตื่นอีกทีก็บ่ายสามโมง ไม่ต้องออกไปยืนกลางแดด ฯลฯ (ข) เวลาต่อมาในวันเวลาดังกล่าวในข้อ 1 (ก) ภายหลังจำเลยได้กระทำความผิดในข้อ 1 (ก) แล้ว จำเลยได้ทำการโฆษณาหาเสียง…ซึ่งตอนหนึ่งจำเลยได้บังอาจกล่าวว่า ‘…ถ้าคนเราเลือกที่เกิดได้ผมทำไมจะไปเกิดเป็นลูกชาวนาที่สงขลาให้มันโง่อยู่จนทุกวันนี้ ผมเลือกเกิดมันใจกลางพระบรมมหาราชวังไม่ดีเหรอเป็นพระองค์เจ้าวีระไปแล้ว ถ้าเป็นพระองค์เจ้า ป่านนี้ก็ไม่มายืนพูดให้คอแหบคอแห้ง นี่เวลาก็ตั้งหกโมงครึ่งผมเสวยน้ำจัณฑ์เพื่อให้มันสบายอกสบายใจไม่ดีกว่าเหรอที่มายืนพูดนี้ก็เมื่อยพระชงฆ์เต็มทีแล้วนะ…’ ฯลฯและได้กล่าวต่อ ร.ต.ท. วิเชียร เฉลิมรมย์ และประชาชนอีกหลายคนซึ่งเป็นบุคคลที่สามว่าทุกพระองค์มีแต่ความสุขสบายไม่ต้องมาพูดให้ประชาชนฟังจนคอแหบคอแห้ง ขณะนี้เป็นเวลาหกโมงครึ่ง (หมายถึงเวลาหกโมงครึ่งตอนเย็น) จะได้เสวยน้ำจัณฑ์ (สุรา) ให้สบายอกสบายใจ ขณะที่ยืนพูดนี่ก็เมื่อยพระชงฆ์ (หมายถึงแข้ง) เต็มทีแล้ว ฯลฯ
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นได้ในเบื้องแรกว่า พนักงานอัยการได้บรรยายฟ้องทั้งในข้อ (ก) และ (ข) เป็นสองตอนคือ ตอนแรกเป็นข้อความที่อ้างว่าจำเลย (โจทก์คดีนี้) เป็นผู้กล่าวซึ่งระบุไว้ในเครื่องหมายอัญประกาศ ส่วนตอนที่สองมีใจความเป็นการแปลหรืออธิบายความหมายและข้อความที่โจทก์ยกขึ้นอ้างเป็นมูลเหตุในการฟ้องคดีนี้ก็มีลักษณะเป็นการอธิบายความหมายด้วยเช่นกัน ทั้งปรากฏว่าพนักงานอัยการในคดีดังกล่าวฟ้องจำเลย (โจทก์ในคดีนี้) ในข้อหาความผิดฐานดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาท ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) บัญญัติว่า’ฯลฯ ในคดีหมิ่นประมาทถ้อยคำพูด หนังสือ ภาพขีดเขียนหรือสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับข้อหมิ่นประมาทให้กล่าวไว้โดยบริบูรณ์หรือติดมาท้ายฟ้อง’ เมื่อพิจารณาบทกฎหมายดังกล่าวประกอบด้วยแล้ว แสดงให้เห็นว่า ข้อความที่พนักงานอัยการในคดีระบุไว้ในเครื่องหมายอัญประกาศก็คือ ‘ถ้อยคำพูด’ที่พนักงานอัยการถือว่าเป็นการกระทำผิดตามข้อกล่าวหาในคดีนั้น ส่วนข้อความอื่นๆ เป็นเรื่องการอธิบายความหมาย ‘ถ้อยคำพูด’ ดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาของศาลเท่านั้น นอกจากนี้ยังได้ความตามฎีกาของโจทก์คดีนี้เองว่า ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ พนักงานอัยการในคดีก่อนได้ขอแก้ฟ้องจากที่บรรยายฟ้องไว้ว่า ‘และได้กล่าวต่อนายศิว์ณัฐพงศ์ วัฒนาชีพ…’ กับ ‘และได้กล่าวต่อ ร.ต.ท.วิเชียร เฉลิมรมย์…’ ในฟ้องข้อ 1 (ก) และ 1 (ข) ตามลำดับเป็นว่า ‘และเป็นการกล่าวต่อ…’ ทั้งสองตอน ยิ่งทำให้เห็นความมุ่งหมายของพนักงานอัยการได้ชัดเจนว่า ข้อความที่โจทก์นำมาเป็นมูลเหตุในการฟ้องคดีนี้ พนักงานอัยการมีความประสงค์เพื่ออธิบายความหมายของข้อความ หรือถ้อยคำพูดที่จำเลย (โจทก์คดีนี้) ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดในคดีอาญาดังกล่าว เพียงแต่ใช้ถ้อยคำผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปเท่านั้นซึ่งก็ได้มีการแก้ไขแล้ว กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าพนักงานอัยการยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว ข้อความตอนท้ายคำฟ้องข้อ (ก)และข้อ (ข) ของพนักงานอัยการในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 2831/2529ของศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ที่โจทก์ยกขึ้นอ้างเป็นมูลเหตุในการฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นเท็จแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสี่ย่อมไม่เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 และไม่เป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามมาตรา 200 แต่ประการใด สำหรับความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 และ 332 นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าฟ้องของพนักงานอัยการในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2831/2529 ของศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ที่โจทก์ยกขึ้นเป็นข้ออ้างเป็นมูลเหตุในการขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่คดีนี้ไม่เป็นเท็จแล้ว เช่นนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสี่ที่ได้บรรยายฟ้องในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2831/2529 จึงไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์แต่อย่างใด จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 และ 332 และย่อมไม่มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย ดังนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสี่ตามที่โจทก์บรรยายในฟ้องคดีนี้ จึงไม่เป็นความผิดตามบทมาตราที่โจทก์ขอให้ลงโทษดังที่ได้วินิจฉัยมา
พิพากษายืน.

Share