แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อความที่จำเลยลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่า ผู้เสียหายเรียกตัวยากหาตัวลำบากแถมยังมีราคีเรื่องอื่น ๆ เป็นข้อความที่แสดงความรู้สึกว่าไม่อาจเรียกตัวผู้เสียหาย หรือพบตัวผู้เสียหายลำบากเท่านั้น มิได้แสดงว่าผู้เสียหายมีราคีมัวหมองในเรื่องใด ทั้งปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกสมัย ผู้เสียหายจึงมิได้ถูกใส่ความโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
ส่วนข้อความที่ลงพิมพ์ว่า ‘เหตุไฉนรัฐมนตรีบัญญัติจึงพูดบิดเบือนความจริง เรื่องศาลากลาง สนามกีฬา ทำไมไม่พูดเรื่องกัญชาข้อหาฉกรรจ์เพราะประชาชนข้องใจ แต่ที่จำได้ ส.ส. ขี่ควายไม่อายเท่าใด ส.ส. ค้ายาเสพติดนั่นคือสิ่งที่ประชาชนสนใจ’ นั้นประชาชนผู้อ่านหนังสือพิมพ์ย่อมเข้าใจได้ว่า รัฐมนตรีบัญญัติผู้เสียหายซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรค้ายาเสพติดให้โทษคือกัญชาซึ่งไม่ตรงกับความจริง จำเลยหาได้ติชมด้วยความเป็นธรรมหรือโดยความสุจริตใจแต่อย่างใดไม่และมิใช่ข้อความที่ไม่เหมาะสม แต่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่าผู้เสียหายค้ายาเสพติดให้โทษ จึงเป็นข้อความที่ใส่ความผู้เสียหายด้วยการแพร่ข่าวสารทางหนังสือพิมพ์โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328.
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328, 83 พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 48 ให้ทำลายหนังสือพิมพ์ของกลาง ให้นับโทษจำเลยติดต่อกันทั้งสองคดี
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 83 เป็นความผิดสองกรรมต่างวาระกัน จำคุกคนละ 3 เดือน ปรับคนละ 4,000 บาท ในแต่ละกระทงรวมเป็นจำคุกคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 8,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดสามปีไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามมาตรา 29, 30
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อความในหัวข้อเรื่องว่ารัฐมนตรีเสียงตกที่จำเลยทั้งสองลงพิมพ์ว่า ผู้เสียหายเรียกตัวยากหาตัวลำบากแถมยังมีราคีเรื่องอื่นๆนั้น เป็นข้อความที่จำเลยทั้งสองแสดงความรู้สึกว่าไม่อาจเรียกตัวผู้เสียหายหรือพบตัวผู้เสียหายลำบากเท่านั้น จำเลยทั้งสองมิได้แสดงว่าผู้เสียหายมีราคีมลทินมัวหมองในเรื่องใด จึงไม่อาจเข้าใจได้ว่า ผู้เสียหายเป็นคนไม่ดี ไม่ตั้งใจรับใช้ประชาชน ทั้งปรากฏว่า เมื่อมีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ผู้เสียหายกลับได้ความนิยมจากประชาชนได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุราษฎร์ธานีอีกสมัย ผู้เสียหายจึงมิได้ถูกใส่ความโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท สำหรับข้อความที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ดังกล่าว วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 2526ในหัวข้อเรื่องว่า กิจสังคมหาเสียงกันอุตลุด มีข้อความว่า’เหตุไฉนรัฐมนตรีบัญญัติจึงพูดบิดเบือนความจริง เรื่องศาลากลางสนามกีฬา ทำไมไม่พูดเรื่องกัญชา ข้อหาฉกรรจ์เพราะประชาชนข้องใจ แต่ที่จำได้ ส.ส.ขี่ความยไม่อายเท่าใด ส.ส.ค้ายาเสพติดนั่นคือสิ่งที่ประชาชนสนใจ’ ข้อความในหนังสือพิมพ์ดังกล่าวประชาชนผู้อ่านหนังสือพิมพ์ย่อมเข้าใจได้ว่ารัฐมนตรีบัญญัติเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุราษฎร์ธานี ค้ายาเสพติดให้โทษ คือกัญชา ไม่ตรงกับความจริง เพราะผู้เสียหายมิได้ค้ายาเสพติดให้โทษ จำเลยทั้งสองหาได้ติชมด้วยความเป็นธรรมหรือโดยความสุจริตใจแต่อย่างใดไม่ และไม่ใช่ข้อความที่ไม่เหมาะสมจำเลยทั้งสองกลับยืนยันข้อเท็จจริงว่ารัฐมนตรีบัญญัติค้ายาเสพติดให้โทษข้อความดังกล่าวจึงเป็นข้อความที่ใส่ความผู้เสียหายด้วยการแพร่ข่าวสารทางหนังสือพิมพ์ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง สมดังเจตนาของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ดังที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1192/2528 ของศาลชั้นต้น (สำนวนที่สอง) จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328, 83 ลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 3 เดือน และปรับคนละ 4,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละสามปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามมาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.