แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากถ้อยคำที่ปรากฏในสำนวน โดยจำเลยที่ 1 อ้างว่า ที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏอยู่ในสำนวนนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาประกันวินาศภัย ซึ่งจำเลยที่ 2ผู้เอาประกันทำไว้กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 รับว่าได้รับประกันวินาศภัยจริงแต่กรมธรรม์ประกันภัยไม่คุ้มครองผู้บาดเจ็บหรือการมรณะของบุคคลภายนอกดังนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งมีปรากฏอยู่ตามเอกสารหมาย จ.2 ที่โจทก์อ้างส่ง และพยานจำเลยเองก็เบิกความรับ จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่มีปรากฏอยู่ในสำนวน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2536 จำเลยที่ 3 ได้ขับรถบรรทุกคันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทเลินเล่อโดยขับรถด้วยความเร็วสูงแล่นฝ่าสัญญาณจราจรไฟสีแดงบริเวณสี่แยกถนนรัชดาภิเษกตัดกับถนนพระรามที่ 4 เป็นเหตุให้ชนรถแท็กซี่หมายเลขทะเบียน 6 ท – 5966 กรุงเทพมหานคร ที่โจทก์ขับมาได้รับความเสียหาย ทำให้โจทก์ได้รับอันตรายแก่กายสาหัส ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2536 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 เหตุคดีนี้เกิดจากความประมาทของโจทก์ที่ขับรถแท็กซี่แล่นฝ่าสัญญาณจราจรไฟสีแดงค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินควร และตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ 2ทำไว้กับจำเลยที่ 1 ไม่ได้คุ้มครองการบาดเจ็บหรือมรณะของบุคคลภายนอกจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 80,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่สำหรับจำเลยที่ 3 ให้ร่วมรับผิดในต้นเงินเพียง 50,000 บาท
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 16ธันวาคม 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามอัตราและระยะเวลาดังกล่าว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เพราะทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 คงมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากถ้อยคำที่ปรากฏในสำนวนหรือไม่โดยจำเลยที่ 1 อ้างว่า การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏอยู่ในสำนวน เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาประกันวินาศภัย ซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันทำไว้กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 รับว่าได้รับประกันวินาศภัยจริง แต่กรมธรรม์ประกันภัยไม่คุ้มครองผู้บาดเจ็บหรือการมรณะของบุคคลภายนอกซึ่งศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งมีปรากฏอยู่ตามเอกสารหมาย จ.2 พยานจำเลยเองก็เบิกความรับในข้อนี้จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่มีปรากฏอยู่ในสำนวนที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดมานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน