คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9009/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ไม่มีพยานปากใดเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นผู้มอบใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ชั่วคราวให้แก่ ก. และมอบใบอนุญาตขับรถยนต์ให้แก่ จ. ข้อเท็จจริงรับฟังได้เพียงว่า จำเลยเป็นผู้นำใบอนุญาตขับรถดังกล่าวที่ทำปลอมขึ้นไปใส่ไว้ในตะกร้าบนเคาน์เตอร์หน้าที่ทำการแผนกทะเบียนยานพาหนะเท่านั้น การที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้มอบใบอนุญาตขับรถดังกล่าวให้แก่ ก. และ จ. จึงเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่ผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวน ศาลฎีกามีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (3) (ก) ประกอบมาตรา 247 และ ป.วิ.อ. มาตรา 15
การที่จำเลยเพียงแต่นำใบอนุญาตขับรถที่ทำปลอมขึ้นใส่ไว้ในตะกร้า เพื่อให้ ก. และ จ. มารับไป โดยจำเลยยังมิได้อ้างและใช้เอกสารดังกล่าวแก่ผู้ใด จึงไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268, 83, 91 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยเป็นผู้ปลอมและใช้เอกสารปลอม (ที่ถูกเป็นผู้ปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม) ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอม (ที่ถูกฐานใช้เอกสารราชการปลอม) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 ตามมาตรา 268 วรรคสอง รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 2 ปี ข้อหาใช้เอกสารราชการปลอมให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาว่า จำเลยกระทำความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 ด้วยหรือไม่ เห็นว่า ในชั้นพิจารณาคดีอาญาของศาล หากจำเลยให้การปฏิเสธเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่ต้องนำสืบพยานหลักฐานให้ศาลรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้นศาลจึงจะลงโทษจำเลยได้ แต่จากคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งหมดดังกล่าว ไม่มีพยานปากใดเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นผู้มอบใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ชั่วคราวให้แก่นายกริชและมอบใบอนุญาตขับรถยนต์ให้แก่นายจำรัส โดยเฉพาะนายกริชและนายจำรัสซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถปลอมมาและเคยถูกพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาว่าปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอมแต่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องแล้วนั้น นายกริชเบิกความยืนยันว่า นายกริชจำไม่ได้ว่าไปรับใบอนุญาตขับรถจากเจ้าพนักงานตำรวจคนใด ในบันทึกคำให้การของผู้ต้องหานายกริชก็ให้การไว้แต่เพียงว่าได้รับใบอนุญาตขับรถจากเจ้าหน้าที่โดยมิได้ระบุว่าได้รับจากจำเลย พยานหลักฐานที่ระบุว่า จำเลยเป็นผู้มอบใบอนุญาตขับรถจึงมีเพียงคำให้การในชั้นสอบสวนของนายจำรัสเท่านั้น แต่คำให้การในชั้นสอบสวนดังกล่าวเป็นพยานบอกเล่าไม่มีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน ทั้งยังขัดกับคำเบิกความของดาบตำรวจชวลิต ดาบตำรวจวินัย ร้อยตำรวจเอกแสวง และนายกริชเองที่เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านในทำนองเดียวกันว่า ใบอนุญาตขับรถใส่ไว้ในตะกร้าวางไว้บนเคาน์เตอร์หน้าที่ทำการแผนกทะเบียนยานพาหนะ กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์ เจ้าของใบอนุญาตขับรถจะไปตรวจดูที่ตะกร้าดังกล่าว หากเห็นใบอนุญาตขับรถของตนเองก็สามารถหยิบเอาไปได้หรือผู้ใดจะไปรับแทนก็ได้ คำให้การชั้นสอบสวนของนายจำรัสจึงไม่อาจรับฟังได้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้เพียงว่า จำเลยเป็นผู้นำใบอนุญาตขับรถไปใส่ไว้ในตะกร้าเท่านั้น การที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้มอบใบอนุญาตขับรถให้แก่นายกริชและนายจำรัสจึงเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่ผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวน ศาลฎีกามีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (3) (ก) ประกอบมาตรา 247 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 การที่จำเลยเพียงแต่นำใบอนุญาตขับรถไปใส่ไว้ในตะกร้า โดยจำเลยยังมิได้อ้างและใช้เอกสารดังกล่าวแก่ผู้ใดจำเลยไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share