คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8621/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า “…จำเลย…ไม่มีสิทธิใช้คำนำหน้านามของตนเองว่าคุณหญิง ได้บังอาจแสดงตัวอวดอ้าง… ว่าตนเองเป็นคุณหญิงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทั้งนี้เพื่อให้บุคคลอื่นหลงเชื่อ…” เป็นการบรรยายให้เห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธิใช้คำนำหน้าชื่อตนเองว่าคุณหญิงซึ่งเป็นสิ่งที่หมายถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และกระทำการเช่นนั้นเพื่อให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่าตนมีสิทธิ ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 146 แล้ว จำเลยแต่งกายประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งตนไม่มีสิทธิแล้วถ่ายรูปไว้ถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ไม่มีสิทธิใช้เครื่องราชอิสริยาภรณ์กระทำเช่นนั้นแล้ว ส่วนเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิหรือไม่เป็นเจตนาภายในจิตใจของจำเลย การที่จำเลยถ่ายรูปขนาด 20 นิ้ว คูณ 24 นิ้ว ติดไว้ในห้องรับแขกซึ่งไม่ใช่ที่ลับ แสดงว่าประสงค์ให้ผู้อื่นมาเห็นและต้องการให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีสิทธิใช้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามรูปถ่ายดังกล่าวจึงเป็นความผิดตามมาตรา 146

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 146, 33 และริบภาพถ่ายของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 146 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกฎหมายบทเดียวแต่หลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 3 เดือน ปรับกระทงละ 1,500 บาท รวม 2 กระทง จำคุก 6 เดือน ปรับ 3,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ทั้งการกระทำของจำเลยมิได้กระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของสังคมส่วนรวมสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไป โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้เป็นเวลา 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลสูงเขต 1 ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมายรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 146 อีกกระทงหนึ่งรวม 3 กระทง ให้ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 2 เดือน รวมจำคุก 6 เดือน ให้ยกโทษปรับ และไม่รอการลงโทษให้จำเลยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ได้บรรยายว่า “…………………….จำเลย……………ไม่มีสิทธิใช้คำนำหน้านามของตนเองว่าคุณหญิงได้บังอาจแสดงตนอวดอ้าง………………ว่าตนเองเป็นคุณหญิงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทั้งนี้เพื่อให้บุคคลอื่นหลงเชื่อ………….” นั้น เป็นการบรรยายให้เห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธิใช้คำนำหน้าชื่อตนเองว่าคุณหญิงซึ่งเป็นสิ่งที่หมายถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และกระทำการเช่นนั้นเพื่อให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่าตนมีสิทธิ ครบองค์ประกอบของความผิดตาม มาตรา 146 แล้ว การที่จำเลยแต่งกายประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งตนไม่มีสิทธิใช้แล้วถ่ายภาพถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ไม่มีสิทธิใช้เครื่องราชอิสริยาภรณ์กระทำการเช่นนั้น ส่วนการกระทำการเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิหรือไม่นั้นเป็นเจตนาภายในจิตใจของจำเลย การที่จำเลยถ่ายรูปตนเองประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นรูปขนาดใหญ่ขนาด 20 นิ้ว x 24 นิ้ว ติดไว้ในห้องรับแขกของจำเลย ซึ่งก็ปรากฏว่ามิใช่ที่ลับ แสดงว่าจำเลยประสงค์ให้ผู้อื่นมาเห็นภาพดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งกระทงละ 1,500 บาท รวมปรับ 4,500 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 1 ปี และให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ระหว่าง 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share