คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ว่าสามีหรือภริยาไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกสินบริคณห์ให้ผู้อื่นเกินกว่าส่วนของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1477 นั้น แม้ทรัพย์สินตามพินัยกรรมจะมีค่าไม่เกินสินบริคณห์ส่วนของตนก็ตาม แต่ถ้ายังไม่ได้มีการแบ่งทรัพย์สินบริคณห์ระหว่างกัน ทรัพย์สินตามพินัยกรรมก็ยังเป็นสินสมรสซึ่งสามีหรือภริยายังมีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วย ถ้าคู่สมรสอีกฝ่ายมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสอง พินัยกรรมนั้นก็มีผลให้ทรัพย์ตกได้แก่ผู้รับพินัยกรรมเพียงตามส่วนของผู้ทำพินัยกรรมเท่านั้น
โจทก์ตั้งฐานฟ้องเป็นเรื่องเรียกทรัพย์ตามพินัยกรรมไม่ได้ขอให้ใช้ค่าเสียหายฐานละเมิด และจำเลยก็ต่อสู้ว่าพินัยกรรมนั้นปลอม เจ้ามรดกไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้โจทก์ จึงถือว่าการที่จำเลยไม่ยอมส่งทรัพย์ตามพินัยกรรมเป็นการละเมิดมิได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ได้รับดอกเบี้ยหรือค่าเสียหาย
ข้อเท็จจริงใดที่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกามีอำนาจให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและพิพากษาใหม่ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2509)

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน

คดีแรก โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นบุตรนายเหล่เจ้ามรดก เมื่อนายเหล่ตายจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกแต่ผู้เดียว จึงขอให้แบ่งมรดกของนายเหล่ให้โจทก์เป็นเงิน 2,830,083.33 บาท

จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์มิใช่บุตรนายเหล่ตามกฎหมาย และแม้จะใช่ นายเหล่ก็ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้จำเลยแล้ว

คดีที่สอง โจทก์ฟ้องว่านายเหล่เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ได้ครอบครองแต่ผู้เดียวไม่ยอมแบ่งให้โจทก์ตามพินัยกรรม และโดยที่จำเลยที่ 2 ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 เรียกเอาทรัพย์ส่วนของโจทก์ตามพินัยกรรมมาขอแบ่งด้วย จึงขอให้แสดงว่าทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ให้ระงับการขอแบ่งของจำเลยที่ 2 ที่เกี่ยวกับทรัพย์ส่วนของโจทก์และขอให้จำเลยที่ 1 ใช้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่นายเหล่ตาย จนกว่าจะส่งมอบทรัพย์ให้โจทก์ด้วย

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธเฉพาะจำเลยที่ 1 ต่อสู้ด้วยว่านายเหล่ไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกทรัพย์อันเป็นสินสมรสให้โจทก์โดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ในสำนวนแรก และให้ทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องในสำนวนหลังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ แต่ไม่คิดดอกเบี้ยให้เพราะอยู่ในระหว่างโต้เถียงกันว่าทรัพย์มรดกนี้จะตกได้แก่ผู้ใด

โจทก์ทั้งสองสำนวนและนางแป้นจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสองสำนวนและนางแป้นจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่านายเหล่เจ้ามรดกทำพินัยกรรมไว้ 2 ฉบับ ฉบับแรกทำวันที่ 11 เมษายน 2479 และฉบับหลังทำวันที่ 18 เมษายน 2497 คงมีปัญหาว่าพินัยกรรมฉบับหลังเป็นการยกสินบริคณห์ระหว่างนายเหล่และนางแป้นจำเลยให้เกินกว่าส่วนของนายเหล่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1477 หรือไม่ และมีผลเพียงใดปรากฏว่านายเหล่และนางแป้นจำเลยเป็นสามีภริยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แม้นายเหล่จะตายภายหลังที่ได้ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ก็ตาม การแบ่งสินสมรสก็ต้องแบ่งตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย คือนายเหล่ได้ 2 ส่วน นางแป้นจำเลยได้ 1 ส่วน แม้จะฟังว่าทรัพย์ตามพินัยกรรมฉบับหลังมีค่าไม่เกินสินบริคณห์ส่วนของนายเหล่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1477 ก็ตาม แต่คดีนี้ยังมิได้มีการแบ่งสินบริคณห์ระหว่างนายเหล่และนางแป้นจำเลย ทรัพย์ตามพินัยกรรมฉบับนี้ยังเป็นสินสมรสที่นางแป้นจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย 1 ใน 3 ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่า นายเหล่จะทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่โจทก์สำนวนหลังทั้งหมดโดยนางแป้นจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอมมิได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรค 2 ทรัพย์ตามพินัยกรรมฉบับนี้จึงตกได้แก่โจทก์สำนวนหลังเพียง 2 ใน 3ตามส่วนของนายเหล่เท่านั้น อีก 1 ใน 3 เป็นสินสมรสส่วนของนางแป้นจำเลย

นอกจากนี้ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าพินัยกรรมของนายเหล่ฉบับแรกถูกเพิกถอนโดยพินัยกรรมฉบับหลังแล้ว ฉะนั้นทรัพย์สินบริคณห์ส่วนของนายเหล่นอกจากที่ระบุไว้ในพินัยกรรมฉบับหลังเป็นมรดกตกทอดไปยังทายาทโดยธรรมของนายเหล่ต่อไปโจทก์ในสำนวนแรกมีสิทธิในมรดกนี้ด้วยผู้หนึ่ง แต่ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยว่าทรัพย์มรดกของนายเหล่ที่ตกทอดไปยังทายาทมีจำนวนเท่าใด จึงควรให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเสียก่อน

ส่วนปัญหาเรื่องดอกเบี้ยหรือค่าเสียหายที่โจทก์สำนวนที่ 2 ขอให้นางแป้นจำเลยชำระให้นั้น เห็นว่า โจทก์ตั้งฐานฟ้องเป็นเรื่องเรียกทรัพย์ตามพินัยกรรม ไม่ได้ขอให้ใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดและจะถือว่าการที่นางแป้นจำเลยไม่ยอมส่งทรัพย์ตามพินัยกรรมเป็นการละเมิดมิได้ เพราะนางแป้นจำเลยต่อสู้อยู่ว่าพินัยกรรมนั้นปลอมและนายเหล่ไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกทรัพย์นั้นให้โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่คิดให้นั้นชอบแล้ว

พิพากษาแก้ ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในสำนวนแรกว่าทรัพย์มรดกของนายเหล่ นอกจากที่ระบุไว้ในพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 18 เมษายน2497 มีเหลือสุทธิตกทอดไปยังทายาทโดยธรรมเท่าใด แล้วพิพากษาแบ่งให้นายสำเภาหรือฮะโจทก์กับนางแป้นจำเลยตามส่วนที่มีสิทธิจะได้รับในฐานะทายาทโดยธรรมตามนัยแห่งคำพิพากษานี้ ส่วนทรัพย์ตามพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 18 เมษายน 2497 ให้ประมูลราคาระหว่างโจทก์สำนวนหลังกับนางแป้นจำเลยก่อน หากไม่ตกลงกันให้ขายทอดตลาดได้เงินเท่าใดให้แบ่งให้โจทก์สำนวนนี้ 2 ใน 3 อีก 1 ใน 3 เป็นส่วนของนางแป้นจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share