แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นคำร้องมีข้อความว่า จำเลยขอให้การปฏิเสธ และติดใจที่จะต่อสู้คดีไม่ขอให้การใดๆก่อนสืบพยานโจทก์ และต่อมาในระยะเวลาที่จำเลยจะยื่นคำให้การได้จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้ ดังนี้ ศาลชอบที่จะรับคำให้การของจำเลยไว้ได้ หาใช่จำเลยได้แสดงความจำนงไม่ใช้สิทธิต่อสู้คดีไม่
เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่า ส.ค.1 ของจำเลยเป็นเอกสารปลอมโจทก์จะต้องนำสืบข้อเท็จจริงที่กล่าวอ้างนั้น การที่โจทก์แถลงคัดค้านไว้ ไม่ทำให้หน้าที่นำสืบของโจทก์เปลี่ยนแปลงไป
จำเลยขอสืบพยานบุคคลแทนหนังสือสัญญาซื้อขาย ระบุชัดแจ้งว่าหนังสือสัญญาหายสาปสูญค้นหาไม่พบ โจทก์คัดค้านแต่เพียงว่า เป็นคำร้องกำกวมเคลือบคลุม ศาลย่อมอนุญาตให้จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบแทนได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กู้เงินจำเลยที่ 1 ไป 2,000 บาท มอบที่นาให้จำเลยที่ 1 ทำประโยชน์แทนดอกเบี้ย ต่อมาจำเลยที่ 1 ถูกศาลลงโทษจำคุก จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาได้เข้าครอบครองและจัดการทรัพย์สินแทน โจทก์นำเงิน 2,000 บาทไปชำระแก่จำเลยที่ 2 และขอให้จำเลยที่ 2 คืนนา จำเลยที่ 2 ว่าได้ขายนาให้จำเลยที่ 3 ไปแล้วขอให้บังคับให้จำเลยที่ 1 รับชำระหนี้จากโจทก์ เพิกถอนสัญญาซื้อขายและให้จำเลยมอบนาให้โจทก์ ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ถ้าไม่สามารถคืนได้ ให้จำเลยร่วมกันใช้ราคาที่นา 8,000 บาท
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยให้โจทก์กู้เงินและไม่เคยรับมอบนาตามที่โจทก์กล่าวในคำฟ้อง นายเสาร์ขายนาให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ครอบครองเกินกว่า 10 ปีแล้วจำเลยที่ 1 ขายนาให้แก่จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ยึดถือครอบครองเกินกว่า 1 ปีแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ปัญหาข้อแรกมีว่า ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การจำเลยชอบหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่าคำร้องของจำเลยลงวันที่ 25 เมษายน 2505 มีข้อความชัดแจ้งว่าจำเลยขอให้การปฏิเสธและติดใจที่จะต่อสู้คดี และในวันที่30 เมษายน 2505 ซึ่งอยู่ในระยะเวลาที่จำเลยจะยื่นคำให้การได้จำเลยได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้ ดังนี้ เห็นว่าที่ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การจำเลยไว้ชอบแล้ว เพราะเพียงแต่คำร้องของจำเลยกล่าวว่าจำเลยไม่ขอให้การใด ๆ ก่อนสืบพยานโจทก์ หมายความว่าจำเลยจะขอให้การหลังจากสืบพยานโจทก์แล้ว หาใช่จำเลยได้แสดงความจำนงไม่ใช้สิทธิต่อสู้คดีดังฎีกาโจทก์ไม่
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ส.ค.1 ของจำเลยในช่องผู้แจ้งไม่มีลายมือชื่อจำเลยที่ 1 และในช่องได้มาอย่างไร ต่างกับข้อนำสืบของจำเลยฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ เพราะเป็นเอกสารปลอมเมื่อโจทก์ได้แถลงคัดค้านแล้วโจทก์ไม่จำเป็นต้องนำสืบนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่า ส.ค.1 ของจำเลยเป็นเอกสารปลอม โจทก์จะต้องนำสืบข้อเท็จจริงที่กล่าวอ้างนั้น การที่โจทก์แถลงคัดค้านไว้ไม่ทำให้หน้าที่นำสืบของโจทก์เปลี่ยนแปลงไป
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอนุญาตให้จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบแทนสัญญาซื้อขายที่นายเสาร์ทำไว้ไม่ชอบ เพราะจำเลยเพียงแต่กล่าวอ้างว่าค้นหาไม่พบนั้น เห็นว่าโจทก์อ้างเหตุมาในฎีกาผิดจากความจริง เพราะตามคำร้องลงวันที่ 4 มิถุนายน 2505 ซึ่งจำเลยขอสืบพยานบุคคลแทนหนังสือสัญญาซื้อขายนั้น ระบุแจ้งว่าหนังสือสัญญาหายสาปสูญค้นหาไม่พบ หาใช่เพราะจำเลยกล่าวอ้างเพียงว่าค้นหาไม่พบเท่านั้นไม่ คำร้องดังกล่าวโจทก์คัดค้านแต่เพียงว่าเป็นคำร้องกำกวมเคลือบคลุม ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบแทนชอบแล้ว
พิพากษายืน