คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 897/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ทำละเมิดจำต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายเต็มจำนวนโดยไม่ต้องคำนึงว่าจะได้เอาประกันภัยไว้หรือไม่ และผู้เสียหายชอบที่จะเลือกฟ้องผู้รับประกันภัยเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนในวงเงินประกันภัยที่ผู้ทำละเมิดจะต้องรับผิดชอบได้ ดังนั้น การที่ผู้เสียหายทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้รับประกันภัยโดยยอมรับค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยเพียง 77,500 บาทจากวงเงินประกันภัย 100,000 บาท จึงมีผลเพียงให้ผู้ทำละเมิดหลุดพ้นความรับผิดในจำนวน 77,500 บาทเท่านั้น ค่าสินไหมทดแทนยังมีอีกเท่าใดผู้ทำละเมิดยังคงต้องรับผิดผู้เสียหาย
ผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเลือกฟ้องผู้ทำละเมิดหรือผู้รับประกันภัยคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในวงเงินประกันภัยซึ่งผู้ทำละเมิดต้องรับผิดชอบได้ และมีสิทธิที่จะเลือกเลิกคดีเช่นเดียวกัน การที่ผู้เสียหายทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้รับประกันภัยว่าจะไม่เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนและเอาความกันต่อไปจึงเป็นเรื่องระหว่างผู้เสียหายกับผู้รับประกันภัย ไม่ทำให้ผู้ทำละเมิดซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยหลุดพ้นความรับผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดของลูกจ้าง ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธความรับผิดหลายประการรวมทั้งต่อสู้ว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับประกันจะต้องรับผิดแทนจำเลยที่ 1 และได้ขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยที่ 2 เข้ามาเป็นจำเลยร่วม

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 มีหน้าที่รับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท โจทก์ได้ตกลงรับค่าเสียหายจากโจทก์เพียง 77,500 บาทไปแล้ว จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่ยังขาดอยู่อีก 52,500 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ยังต้องร่วมรับผิดในจำนวนเงินที่ยังขาดอยู่อีก 22,500 บาท พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายจำนวน52,500 บาทแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในจำนวนเงิน 22,500 บาท

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ 1 ผู้เป็นฝ่ายทำละเมิดจำต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ผู้เสียหายเต็มจำนวนอยู่แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะได้เอาประกันภัยไว้หรือไม่ การที่จำเลยที่ 1 เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 2ในลักษณะประกันภัยค้ำจุนก็เพื่อให้จำเลยที่ 2 ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแทนตนภายในวงเงินประกันภัย ซึ่งโจทก์ผู้เป็นบุคคลผู้ต้องเสียหายมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 ได้ตามมาตรา 887 วรรคสอง และโจทก์ชอบที่จะฟ้องจำเลยคนหนึ่งคนใดหรือทั้งสองคนก็ได้แต่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยเกินไปกว่าจำนวนอันจำเลยที่ 2 จะพึงต้องใช้ตามสัญญาไม่ได้ การที่โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยโดยยอมรับค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยเพียง 77,500 บาท จากวงเงินประกันภัย 100,000 บาท มีผลเพียงให้จำเลยที่ 1 หลุดพ้นความรับผิดในเงินจำนวน 77,500 บาทเท่านั้น ค่าสินไหมทดแทนอีก 42,510 บาทจำเลยที่ 1 ยังคงต้องรับผิด ที่จำเลยที่ 1 อ้างในฎีกาว่าเมื่อโจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยโดยตรงแล้วกลับทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 2 ในระหว่างคดีทำให้โจทก์สิ้นสิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่าเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะทำได้เพราะโจทก์มีสิทธิเลือกฟ้องดังกล่าวแล้ว ย่อมมีสิทธิเลือกเลิกคดีได้เช่นเดียวกัน สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ที่จะไม่เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนและเอาความกันต่อไปเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 หลุดพ้นความรับผิด

พิพากษายืน

Share