คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 896/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,83. ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปและผู้ตายตายด้วยมีดของฝ่ายจำเลยในที่ชุลมุนต่อสู้นั้น โดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนแทง ดังนี้ เป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังกล่าวในฟ้องในข้อสารสำคัญ ต้องยกฟ้องโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2512 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกับพวกอีกสี่คนร่วมกันใช้มีดปลายแหลมแทงทำร้าย นายบุญ ยอดแก้ว และ นายมั่น เพิ่มปัญญา โดยเจตนาฆ่านายบุญและนายมั่นถึงแก่ความตายในวันเวลาเดียวกันนั้นเอง เหตุเกิดที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมาจังหวัดนครราชสีมา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83ริบมีดที่ใช้กระทำผิดของกลางด้วย

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า ผู้ตายถูกแทงถึงแก่ความตายในที่ชุลมุนต่อสู้ระหว่างคนตั้งแต่สามคนขึ้นไป จำเลยยังไม่มีความผิดฐานร่วมกันกับพวกฆ่าผู้อื่น พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 294 จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ของกลางริบ

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามฟ้อง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังได้ว่า การกระทำเป็นการชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และโจทก์มิได้บรรยายฟ้องมา จึงเป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องในข้อสารสำคัญ ลงโทษจำเลยไม่ได้ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ของกลางริบ

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาประชุมปรึกษาแล้ว คดีคงมีปัญหาข้อกฎหมายในชั้นนี้ตามฎีกาของโจทก์ว่าเมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามทางพิจารณาว่ากรณีเป็นการชุลมุนต่อสู้ทำร้ายกันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และนายบุญกับนายมั่นถึงแก่ความตายในที่ชุลมุนต่อสู้กันด้วยมีดของฝ่ายจำเลย จะลงโทษจำเลยได้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องบรรยายข้อเท็จจริงเป็นสารสำคัญว่า จำเลยกับพวกอีก 4 คน ร่วมกันใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงทำร้ายร่างกายนายบุญและนายมั่นถึงแก่ความตาย ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกับพวกอีก 4 คนฝ่ายหนึ่ง ผู้ตายกับพวกอีกสองคนฝ่ายหนึ่ง ได้ชุลมุนต่อสู้ทำร้ายกัน ผู้ตายถูกแทงถึงแก่ความตายโดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนแทงในการชุลมุนต่อสู้นั้น สารสำคัญในการกระทำผิดตามที่พิจารณาได้ความคือมีการชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป แต่ตามฟ้องคดีนี้ไม่ปรากฏว่ามีข้อความตอนใดบรรยายถึงข้อเท็จจริงอันเป็นสารสำคัญของความผิดฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ เป็นเหตุให้บุคคลถึงแก่ความตาย ซึ่งจะมีผลให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 294 ได้ด้วย ที่โจทก์ฎีกาว่า ความผิดฐานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำผิดทางอาญาฐานฆ่าคนโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และอยู่ในหมวดเดียวกันนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำผิดแต่ละฐานเป็นคนละบทมาตรากัน นอกจากนี้ยังเห็นได้ว่าทำให้จำเลยหลงต่อสู้อีกด้วย ฉะนั้นเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยกับพวกอีก 4 คนร่วมกันใช้มีดแทงทำร้ายร่างกายนายบุญและนายมั่นแต่ฝ่ายเดียวโดยไม่มีการชุลมุนต่อสู้กันแต่อย่างใด จึงต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสารสำคัญ หาใช่เพียงแตกต่างกันในข้อที่ไม่ใช่สารสำคัญดังโจทก์ฎีกาไม่ คำพิพากษาฎีกาที่ 1280/2513 ตามที่โจทก์อ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับในคดีเรื่องนี้ เพราะในคดีนั้นโจทก์ได้บรรยายฟ้องในความผิดฐานชิงทรัพย์ว่า จำเลยได้ขู่เข็ญ เพื่อความสะดวกในการพาเอาทรัพย์ไป ให้ยื่นทรัพย์ให้และถือเอาทรัพย์ไว้ ซึ่งการขู่เข็ญนั้นก็เป็นความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 อยู่ในตัว เมื่อโจทก์ได้กล่าวมาในคำบรรยายฟ้องแล้ว จึงลงโทษจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์มานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share