คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6560/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสามฟ้องขอแบ่งที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกของ บ.จากจำเลยให้แก่โจทก์คนละ 1 ใน 5 ส่วน โดยตีราคาทุนทรัพย์รวมกันมาในคำฟ้องเป็นเงิน 78,000 บาท จำเลยโต้เถียงว่าที่พิพาททั้งสามส่วนดังกล่าวเป็นของจำเลย มิใช่ทรัพย์มรดกของ บ. จึงไม่อาจแยกคิดทุนทรัพย์แต่ละส่วนตามที่โจทก์ทั้งสามขอมาได้ อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ 78,000 บาท ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง การที่จำเลยครอบครองที่พิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของ บ.ในฐานะทายาทก็ดีและในฐานะผู้จัดการมรดกก็ดี ถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนทายาทคนอื่นด้วย จำเลยจึงยกอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาใช้บังคับไม่ได้โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทย่อมฟ้องขอแบ่งที่พิพาทจากจำเลยได้แม้เกินกำหนด 1 ปีนับแต่ บ. ถึงแก่ความตายก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามกับจำเลยและนายบุญนาค ประมงค์เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2531นายบุญนาคซึ่งไม่มีภริยาและบุตรได้ถึงแก่ความตาย มีที่ดินมือเปล่า1 แปลง เนื้อที่ 13 ไร่ ราคาไร่ละ 10,000 บาท เป็นทรัพย์มรดกโจทก์ทั้งสามและจำเลยร่วมกันครอบครองที่ดินมรดกตลอดมา ต่อมาจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายบุญนาคตามคำสั่งศาลชั้นต้นและครอบครองที่ดินมรดกแทนทายาท โจทก์ทั้งสามขอให้จำเลยแบ่งที่ดินให้โจทก์คนละ 1 ใน 5 ส่วน เป็นเนื้อที่คนละ 2 ไร่ 2 งาน 40 ตารางวารวมเป็นที่ดิน 7 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา คิดเป็นราคา 78,000 บาทแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินมรดกของนายบุญนาคดังกล่าวโดยส่งมอบการครอบครองให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละ 2 ไร่ 2 งาน 40 ตารางวารวมเนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา หากไม่สามารถแบ่งแยกที่ดินได้ให้นำที่ดินมาขายทอดตลาดเพื่อนำเงินแบ่งให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 5 ส่วน
จำเลยให้การว่า ที่ดินมือเปล่าตามฟ้องไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนายบุญนาค แต่เป็นที่ดินที่จำเลยหักร้างถางพงเข้าครอบครองทำประโยชน์มานานกว่า 20 ปีแล้ว จำเลยมิได้ครอบครองทรัพย์พิพาทแทนโจทก์ทั้งสามโจทก์ทั้งสามไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องแม้ฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของนายบุญนาค โจทก์ทั้งสามไม่ได้ฟ้องขอแบ่งมรดกภายใน 1 ปี นับแต่นายบุญนาคถึงแก่ความตาย ฟ้องโจทก์ทั้งสามจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 13 ไร่อยู่หมู่ที่ 1 ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นทรัพย์มรดกของนายบุญนาคซึ่งโจทก์ทั้งสามมีส่วนได้รับคนละ 1 ใน 5 ส่วน ให้จำเลยแบ่งที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 5 ส่วน หากไม่สามารถตกลงแบ่งได้ให้นำที่ดินขายทอดตลาด นำเงินแบ่งให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 5 ส่วน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสาม
โจทก์ทั้งสามฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว โจทก์ทั้งสามฎีกาข้อแรกว่าฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาโดยมติของที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินมือเปล่าเนื้อที่ 13 ไร่ตามฟ้อง เป็นทรัพย์มรดกของนายบุญนาคผู้ตาย ให้จำเลยแบ่งที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 5 ส่วน คิดเป็นที่ดินรวมกัน7 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา ซึ่งโจทก์ตีราคามาในคำฟ้องเป็นเงิน78,000 บาท จำเลยอุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาททั้งสามส่วนเป็นของจำเลยขอให้ยกฟ้อง เท่ากับโต้เถียงว่า ที่ดินพิพาททั้งสามส่วนดังกล่าวเป็นของจำเลย มิใช่ทรัพย์มรดกของนายบุญนาคผู้ตาย จึงไม่อาจแยกคิดทุนทรัพย์แต่ละส่วนตามที่โจทก์ทั้งสามขอมาได้ อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ 78,000 บาท ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ฎีกาโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์ทั้งสามฎีกาข้อสองว่า ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความมรดกปัญหาข้อนี้ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยจำเลยไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 13 ไร่ ตามฟ้องเป็นทรัพย์มรดกของนายบุญนาค ประมงค์ ผู้ตาย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ทั้งสาม แต่เป็นการครอบครองเพื่อตน โจทก์ทั้งสามฟ้องขอแบ่งที่ดินพิพาทเกิน 1 ปี จึงขาดอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ทางพิจารณาได้ความว่าหลังจากนายบุญนาคตายได้ 2 ปีเศษโจทก์ที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งโจทก์ที่ 2เป็นผู้จัดการมรดกของนายบุญนาค จำเลยคัดค้านและขอให้ศาลตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งโจทก์ที่ 2 และจำเลยร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนายบุญนาค ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 554/2533 ของศาลชั้นต้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายบุญนาค โจทก์ทั้งสามและจำเลยซึ่งเป็นทายาทจึงมีสิทธิรับมรดกที่ดินพิพาท แม้จะฟังว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่นายบุญนาคตายแต่ผู้เดียวดังที่นำสืบ ก็เป็นการครอบครองทรัพย์มรดกของนายบุญนาคที่ยังไม่ได้แบ่งปันกัน และต่อมาจำเลยก็ได้เป็นผู้จัดการมรดกของนายบุญนาคตามคำสั่งศาล ดังนั้นการที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะทายาทก็ดีและในฐานะผู้จัดการมรดกก็ดี ถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนทายาทอื่นด้วย จำเลยจึงจะยกอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 มาใช้บังคับไม่ได้ โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทของนายบุญนาคเจ้ามรดก ย่อมฟ้องขอแบ่งที่ดินพิพาทจากจำเลยได้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share