คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8959/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

บันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและคำเบิกความของพยานโจทก์ในส่วนของข้อเท็จจริงที่ได้รับการบอกเล่าจากผู้เสียหายเป็นพยานบอกเล่า แต่สภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่า เช่นว่านี้ย่อมพิสูจน์ความจริงได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 วรรคสอง (1) ทั้งการที่โจทก์ไม่สามารถนำตัวผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความในชั้นพิจารณาได้เพราะผู้เสียหายถูกคนร้ายยิงถึงแก่ความตายเสียก่อน นับว่ามีเหตุจำเป็นที่โจทก์ไม่สามารถนำผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ที่ได้เห็นและได้ยินในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนี้ด้วยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ กรณีเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังคำให้การของผู้เสียหายประกอบคำเบิกความพยานโจทก์ทั้งสองซึ่งแวดล้อมกรณีใกล้ชิดเหตุการณ์ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 วรรคสอง (2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 10 ปี 12 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์แล่นผ่านคนร้ายซึ่งดักรออยู่ริมถนน ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดยิง กระสุนปืนถูกผู้เสียหาย 1 นัด ที่หลังส่วนบนเป็นแผลขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.9 เซนติเมตร ทะลุออกบริเวณไหปลาร้าทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาด ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ ต่อมาวันที่ 11 กรกฎาคม 2555 ผู้เสียหายถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงถึงแก่ความตาย ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์มีนางวงศ์เดือน ภริยาผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า ตอนเที่ยงของวันเกิดเหตุผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ไปรับประทานก๋วยเตี๋ยว ครั้นเวลาประมาณ 12.30 นาฬิกา ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์กลับไปที่บ้านร้องตะโกนบอกพยานว่าถูกยิง พยานออกไปดูเห็นผู้เสียหายถูกยิงที่บริเวณหลังทะลุทางไหปลาร้าข้างขวา ผู้เสียหายลงจากรถใช้เสื้อซับเลือดที่บาดแผล พยานสอบถามว่าใครยิง ผู้เสียหายบอกว่าจำเลยเป็นคนยิง หลังจากนั้นผู้เสียหายโทรศัพท์บอกเพื่อนของผู้เสียหายให้ช่วยพาไปส่งโรงพยาบาล และพันตำรวจโทบุญเลิศ พนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อพยานได้รับแจ้งเหตุในเวลา 13 นาฬิกา ของวันเกิดเหตุจึงออกไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ แต่ไม่พบวัตถุของกลาง จึงเดินทางไปหาผู้เสียหายที่โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 11 สอบถามผู้เสียหายได้ความว่า ระหว่างที่ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์กลับจากรับประทานก๋วยเตี๋ยว ก่อนถึงที่เกิดเหตุเห็นจำเลยยืนหันหลังอยู่ข้างรถจักรยานยนต์ เมื่อเข้าไปใกล้จำเลยหันหน้ามาจึงจำได้เพราะเคยมีเหตุวิวาทกัน ผู้เสียหายเร่งเครื่องรถจักรยานยนต์ขับหลบหนี จำเลยใช้อาวุธปืนยิง 3 นัด ถูกผู้เสียหายที่ด้านหลัง 1 นัด วันเดียวกันพยานนำภาพถ่ายจากข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของจำเลยไปให้ผู้เสียหายดู ผู้เสียหายยืนยันว่าเป็นคนร้ายที่ยิงผู้เสียหาย ตามข้อมูลทะเบียนราษฎร์ วันรุ่งขึ้นพยานไปสอบสวนผู้เสียหายอีกครั้ง ผู้เสียหายให้การไว้เหมือนกับที่แจ้งแก่พยานในวันเกิดเหตุ พยานบันทึกคำให้การไว้ตามบันทึกคำให้การของผู้ร้องทุกข์ วันที่ 9 พฤษภาคม 2555 ผู้เสียหายออกจากโรงพยาบาลแล้วไปให้ถ้อยคำเพิ่มเติม ผู้เสียหายยังคงยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ยิงผู้เสียหาย เห็นว่า เหตุคดีนี้เกิดในเวลากลางวัน ตามภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุ ที่เกิดเหตุเป็นทางสาธารณะแคบเพียงเท่าที่รถยนต์จะแล่นสวนกัน ผู้เสียหายมองเห็นจำเลยก่อนถึงจุดเกิดเหตุ ประมาณ 30 เมตร ก่อนขับรถผ่านและถูกยิง จึงมองเห็นจำเลยในระยะใกล้ ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายและจำเลยมีเหตุทะเลาะวิวาทชกต่อยกันและรู้จักกันมาก่อนเพราะเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน บาดแผลที่ถูกยิงก็ไม่ถึงกับเป็นอันตรายสาหัส แม้ผู้เสียหายเสียเลือดมากแต่ยังสามารถขับรถกลับไปถึงบ้าน ผู้เสียหายจึงยังมีสติสัมปชัญญะดี ลักษณะที่ผู้เสียหายถูกยิงที่หลังก็สอดคล้องกับคำให้การของผู้เสียหายที่เร่งเครื่องยนต์หลบหนี แสดงว่าผู้เสียหายเห็นชัดว่าจำเลยเป็นคนร้าย เมื่อกลับไปถึงบ้านก็แจ้งให้นางวงศ์เดือนทราบในทันทีก่อนที่นางวงศ์เดือนจะพาผู้เสียหายไปโรงพยาบาล เมื่อพนักงานสอบสวนไปสอบถามและให้ดูภาพถ่ายของจำเลย ผู้เสียหายให้การไว้ตรงกันและยืนยันภาพถ่ายของจำเลย สำหรับพันตำรวจโทบุญเลิศพนักงานสอบสวนปฏิบัติหน้าที่ไปตามกฎหมายไม่มีส่วนได้เสียกับคู่กรณีฝ่ายใด และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีข้อระแวงว่าจะแกล้งปรักปรำจำเลย เชื่อว่าผู้เสียหายบอกเล่าเหตุการณ์ไปตามความเป็นจริง ข้อที่ผู้เสียหายเคยมีเหตุวิวาทชกต่อยกับจำเลยนอกจากไม่เป็นพิรุธแล้ว ยังบ่งชี้ว่าเป็นเหตุจูงใจให้จำเลยยิงผู้เสียหายเพราะนางวงศ์เดือนซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เบิกความว่า วันดังกล่าวผู้เสียหายซึ่งมีอายุมากกว่าตบสั่งสอนจำเลยที่พูดจาไม่ดี ก่อนจะแยกย้ายกัน จำเลยกล่าวอาฆาตผู้เสียหายไว้ สอดคล้องกับคำให้การของผู้เสียหายที่ว่าผู้เสียหายชกต่อยกับจำเลย จำเลยสู้ไม่ได้พูดขู่ผู้เสียหายว่าระวังตัวไว้ให้ดี นอกจากเรื่องดังกล่าวแล้วไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายมีสาเหตุโกธรเคืองกับใครอีกดังนี้ แม้บันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองในส่วนของข้อเท็จจริงที่ได้รับการบอกเล่าจากผู้เสียหายเป็นพยานบอกเล่า แต่สภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่า เช่นว่านี้ย่อมพิสูจน์ความจริงได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (1) ทั้งการที่โจทก์ไม่สามารถนำตัวผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความในชั้นพิจารณาได้เพราะผู้เสียหายถูกคนร้ายยิงถึงแก่ความตายเสียก่อน นับว่ามีเหตุจำเป็นที่โจทก์ไม่สามารถนำผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ที่ได้เห็นและได้ยินในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนี้ด้วยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ กรณีเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังคำให้การของผู้เสียหายประกอบคำเบิกความพยานโจทก์ทั้งสองซึ่งแวดล้อมกรณีใกล้ชิดเหตุการณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (2) เมื่อผลการตรวจพิสูจน์บาดแผลของแพทย์ได้ความว่า ผู้เสียหายถูกจำเลยยิงที่หลังทะลุไหปลาร้า แสดงว่าจำเลยเล็งยิงที่บริเวณลำตัวท่อนบนของผู้เสียหายซึ่งเป็นบริเวณที่มีอวัยวะสำคัญ บ่งชี้ว่ามีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนกับฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น พยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนัก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share