คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13172/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ผู้เสียหายมิได้ฎีกาในส่วนแพ่ง ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกคดีส่วนแพ่งขึ้นวินิจฉัยเพื่อให้เป็นไปตามผลแห่งคดีอาญาได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และคดีนี้เป็นคดีอาญา จำเลยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลตาม ป.วิ.อ. มาตรา 252 และ 253 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนคดีแพ่งจึงไม่ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 364, 365
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย อนามัย และเสรีภาพ เป็นเงิน 250,000 บาท ผู้เสียหายตกใจอยู่ในอาการหวาดผวาหวั่นวิตกนอนไม่หลับจนถึงปัจจุบัน สภาพจิตของผู้เสียหายไม่เหมือนบุคคลในภาวะปกติ และต้องสูญเสียความบริสุทธิ์ไม่มีคู่สมรสทำให้ขาดการอุปการะเลี้ยงดูจากสามีหรือขาดความอบอุ่นที่จะได้รับจากสามี เป็นเงิน 150,000 บาท รวมเป็นเงิน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธและให้การในส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก (เดิม), 364, 365 (2) (3) (ที่ถูก มาตรา 365 (2) (3) ประกอบมาตรา 364) เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 10 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในห้า คงจำคุก 8 ปี ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2550 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง และให้ยกคำขอให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียหาย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายและนางทิพย์กันยา พี่ผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า วันเกิดเหตุผู้เสียหายกลับจากทำงานที่ร้านเสริมสวยถึงห้องพักเวลาประมาณ 23 นาฬิกา ห้องเกิดเหตุที่ผู้เสียหายนอนอยู่เป็นห้องเช่า ได้ความจากผู้เสียหายว่ามีแสงไฟนีออนจากหน้าห้องดังกล่าวส่องเข้ามาภายในห้องเป็นแสงสลัว เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นเนื่องจากมีคนมาถูกตัว มองเห็นชายคนหนึ่งใช้มีดจี้ที่ใบหน้าพร้อมกับขู่ว่าอย่าส่งเสียงดัง มิฉะนั้นจะฆ่าให้ตาย ชายดังกล่าวใส่กางเกงขาสั้น ไม่ใส่เสื้อโดยใช้เสื้อกล้ามปิดศีรษะ แต่เห็นใบหน้าได้ทั้งหมดคือจำเลย จำเลยบอกว่ามีพวกรออยู่ข้างนอกด้วย แล้วจำเลยกระชากเสื้อและกางเกงนอนของผู้เสียหายออก พร้อมกับถอดกางเกงของจำเลย และยังใช้มีดจี้ที่ใบหน้าผู้เสียหายอยู่ ผู้เสียหายกลัวจึงยอมให้จำเลยกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ จากเหตุการณ์ดังกล่าวจะเห็นว่าจำเลยอยู่ใกล้ชิดกับผู้เสียหาย โดยเฉพาะในขณะที่กระทำชำเราผู้เสียหายอยู่นั้น ใบหน้าของจำเลยอยู่ตรงหน้าผู้เสียหาย และผู้เสียหายไม่ได้ถูกปิดตา เชื่อว่าผู้เสียหายเห็นและจดจำใบหน้าของจำเลยได้ โดยก่อนออกไปจากห้องจำเลยได้ขอหมายเลขโทรศัพท์ของผู้เสียหาย หากไม่ให้จะฆ่าผู้เสียหายผู้เสียหายจึงยอมให้หมายเลขโทรศัพท์ไป คืนนั้นผู้เสียหายโทรศัพท์บอกให้นางทิพย์กันยา ซึ่งเป็นพี่สาวทราบ ในข้อนี้ได้ความจากนางทิพย์กันยาว่า ได้ไปหาผู้เสียหายพบว่ากลอนประตูห้องด้านหลังหลุดออก โดยไม้ประตูมีสภาพเก่ามีรอยฉีกขาดลักษณะถูกกระชากออก จากนั้นได้พาผู้เสียหายไปพักที่ห้องของนางทิพย์กันยา โดยยังไม่ได้ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจเพราะผู้เสียหายกลัวจำเลย จนกระทั่งวันที่ 23 กันยายน 2549 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา จำเลยได้โทรศัพท์บอกให้ผู้เสียหายไปพบที่บริเวณซอยบ่อยาง หากไม่ไปพบจะไปหาอีก ผู้เสียหายจึงโทรศัพท์บอกนางทิพย์กันยา นางทิพย์กันยาให้ไปพบจำเลยเพื่อดูหน้าให้ชัดเจน แล้วจำเลยโทรศัพท์มาหาผู้เสียหายอีก ผู้เสียหายจึงตกลงไปพบ ซึ่งเหตุการณ์ในช่วงนี้ทั้งผู้เสียหายและนางทิพย์กันยาเบิกความยืนยันว่าผู้เสียหายและจำเลยได้ไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยว นางทิพย์กันยาได้ตามไปพาผู้เสียหายออกมา โดยก่อนหน้านั้นนางทิพย์กันยาได้บอกนายกบซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิสว่างประทีปให้ช่วยดูชายที่พบกับผู้เสียหายด้วย เนื่องจากเป็นคนข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย และทราบต่อมาจากเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวว่า จำเลยถูกทำร้ายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา จึงได้พากันไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ โดยโจทก์มีพันตำรวจโทประพันธ์พนักงานสอบสวน มาเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยให้การตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา ซึ่งคำให้การดังกล่าวและคำเบิกความของจำเลยได้ความว่าจำเลยได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับหญิงที่จำเลยได้หมายเลขโทรศัพท์มา และนัดพบกันที่ซอยบ่อยางและหญิงดังกล่าวชวนไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยว โดยจำเลยรับว่าหญิงดังกล่าวคือผู้เสียหายคดีนี้ ซึ่งสอดคล้องเชื่อมโยงกับข้อเท็จจริงตามที่ได้ความจากผู้เสียหายและนางทิพย์กันยา เชื่อว่าหลังเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายได้พบกับจำเลยอีก โดยจำเลยเป็นผู้โทรศัพท์ติดต่อนัดผู้เสียหายตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้เสียหายให้ไว้ ซึ่งนางทิพย์กันยาได้ตามไปดูตัวจำเลยด้วย หลังจากพาผู้เสียหายกลับแล้ว จึงทราบจากนายกบเจ้าหน้าที่มูลนิธิสว่างประทีปที่รู้จักกับนางทิพย์กันยาว่า ชายคนที่อยู่กับผู้เสียหายในร้านก๋วยเตี๋ยวที่ให้ช่วยดูตัวไว้นั้นถูกทำร้ายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา จึงได้ไปแจ้งความและได้ดูตัวจำเลยที่โรงพยาบาลดังกล่าวด้วย การที่ผู้เสียหายเห็นหน้าจำเลย 2 ครั้ง อย่างใกล้ชิดในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น เชื่อได้ว่าผู้เสียหายจดจำจำเลยได้จริง ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายเคยรู้จักจำเลยหรือประสงค์จะเรียกร้องเอาทรัพย์สินจากจำเลย จึงไม่มีเหตุระแวงว่าผู้เสียหายจะปรุงแต่งเรื่องดังกล่าว ซึ่งผู้เสียหายเป็นหญิงสาวย่อมได้รับความอับอาย และการแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาร้ายแรงเช่นนั้น นอกจากจะเสียเวลาแล้วยังอาจต้องรับโทษทางอาญาฐานแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จอีกด้วย ที่จำเลยอ้างว่าได้หมายเลขโทรศัพท์ของผู้เสียหายจากชายวัยรุ่น 2 คน ที่มาสอบถามจำเลยเรื่องงานในบริษัทที่จำเลยทำอยู่ แล้วชายวัยรุ่นดังกล่าวได้ถามจำเลยในทำนองว่าต้องการเที่ยวหญิงบริการหรือไม่และให้หมายเลขโทรศัพท์ของหญิงบริการแก่จำเลยไว้ แต่ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวตามที่จำเลยให้การในชั้นสอบสวนได้ความว่าชายวัยรุ่น 2 คน ไปสอบถามจำเลยขณะที่จำเลยอยู่หน้าบริษัทที่ทำงานซึ่งขัดกับคำเบิกความของจำเลยว่าชายวัยรุ่นดังกล่าวไปสอบถามจำเลยที่ห้องเช่าที่จำเลยพักอยู่ ข้ออ้างของจำเลยจึงไม่น่าเชื่อถือ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น สำหรับค่าสินไหมทดแทนนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำละเมิดต่อผู้เสียหาย แม้ผู้เสียหายมิได้ฎีกาในส่วนแพ่ง ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกคดีส่วนแพ่งขึ้นวินิจฉัยเพื่อให้เป็นไปตามผลแห่งคดีอาญาได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ในปัญหาค่าสินไหมทดแทนนี้ผู้เสียหายยื่นคำร้องและนำสืบว่า ผู้เสียหายได้รับความเสียหายแก่กาย อนามัย และเสรีภาพเป็นเงิน 250,000 บาท สภาพจิตของผู้เสียหายไม่เหมือนบุคคลในภาวะปกติและต้องสูญเสียความบริสุทธิ์คิดเป็นเงิน 150,000 บาท รวมเป็นเงิน 400,000 บาท เห็นว่า ผู้เสียหายเป็นหญิงสาวไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน ขณะเกิดเหตุมีอายุเพียง 18 ปีเศษ เมื่อพิจารณาประกอบพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายแล้ว สมควรกำหนดให้ตามขอ
อนึ่ง คดีนี้เป็นคดีอาญา จำเลยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 252 และ 253 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนคดีแพ่งจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและบังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share