คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8951/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยจะให้การรับสารภาพเพราะสามารถตกลงกับโจทก์ร่วมได้ โดยจำเลยต้องชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ร่วมเพียงบางส่วน แต่ก็มิได้เป็นการตกลงให้โจทก์ร่วมต้องถอนคำร้องทุกข์หรือยอมความเพื่อให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยเป็นอันระงับไปทันทีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) โดยจำเลยไม่จำต้องชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมตามข้อตกลงดังกล่าวให้ครบถ้วนก่อน ศาลชั้นต้นจึงได้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไปตามคำแถลงของจำเลย เพื่อให้โอกาสแก่จำเลยชำระหนี้ตามข้อตกลง เจตนาอันแท้จริงของโจทก์ร่วมและจำเลยจึงเป็นเพียงความตกลงในการผ่อนชำระหนี้ตามที่โจทก์ร่วมยินยอมลดยอดหนี้ให้ โดยมีเงื่อนไขเป็นปริยายว่า เมื่อจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมครบถ้วนตามจำนวนดังกล่าวก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา โจทก์ร่วมก็จะติดใจเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เพียงเท่านั้นและไม่ติดใจดำเนินทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งแก่จำเลยต่อไปอีก ดังนั้น ตราบใดที่จำเลยยังไม่ชำระหนี้ตามข้อตกลง สิทธิและความรับผิดระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลยยังคงมีอยู่ต่อกันตามฟ้องทุกประการข้อตกลงดังกล่าวโจทก์ร่วมและจำเลยจึงมิได้ประสงค์ให้เข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความอันจะทำให้สิทธิเรียกร้องอันเกิดจากมูลหนี้ละเมิดตามฟ้องต้องระงับไปไม่ เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามข้อตกลง เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมไม่ถอนคำร้องทุกข์หรือยอมความด้วย ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องได้และจำเลยต้องรับผิดชดใช้เงินทั้งหมดที่ยักยอกคืนแก่โจทก์ร่วมตามคำขอท้ายฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352และให้จำเลยคืนเงิน 1,812,133 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การรับสารภาพ

ระหว่างพิจารณา บริษัทนำสินประกันภัย จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคแรก ลงโทษจำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนเงิน 1,812,133 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 เดือน คำขอให้ชดใช้เงินคืนให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ร่วมข้อแรกว่า จำเลยต้องชดใช้เงินที่ยักยอกจำนวน 1,812,133 บาท คืนแก่โจทก์ร่วมตามคำขอท้ายฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยจะให้การรับสารภาพเพราะสามารถตกลงกับโจทก์ร่วมได้ โดยให้จำเลยต้องชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ร่วมเพียง 400,000 บาท ก็ตาม แต่ก็มิได้เป็นการตกลงให้โจทก์ร่วมต้องถอนคำร้องทุกข์หรือยอมความเพื่อให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยเป็นระงับไปทันทีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) โดยจำเลยไม่จำต้องชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมตามข้อตกลงดังกล่าวให้ครบถ้วนก่อนแต่อย่างใดศาลชั้นต้นจึงได้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไปตามคำแถลงของจำเลย เพื่อให้โอกาสแก่จำเลยชำระหนี้ตามข้อตกลงก่อน ดังนั้น เจตนาอันแท้จริงของโจทก์ร่วมและจำเลยจึงเป็นเพียงความตกลงในการผ่อนชำระหนี้ตามที่โจทก์ร่วมยินยอมลดยอดหนี้ให้ โดยมีเงื่อนไขเป็นปริยายว่า เมื่อจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมครบถ้วนตามจำนวนดังกล่าวก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา โจทก์ร่วมก็จะติดใจเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เพียงเท่านั้น และไม่ติดใจดำเนินทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งแก่จำเลยต่อไปอีก ตราบใดที่จำเลยยังไม่ชำระหนี้ตามข้อตกลง สิทธิและความรับผิดระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลยยังคงมีอยู่ต่อกันตามฟ้องทุกประการหาได้ระงับสิ้นไปไม่ ข้อตกลงดังกล่าวโจทก์ร่วมและจำเลยจึงมิได้ประสงค์ให้เข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความอันจะทำให้สิทธิเรียกร้องอันเกิดจากมูลหนี้ละเมิดตามฟ้องต้องระงับไปไม่ ดังนั้น เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามข้อตกลงเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมไม่ถอนคำร้องทุกข์หรือยอมความด้วย ศาลชั้นต้นจึงได้พิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง และจำเลยต้องรับผิดชดใช้เงินที่ยักยอกจำนวน 1,812,133 บาท คืนแก่โจทก์ร่วมตามคำขอท้ายฟ้อง

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 1,812,133 บาท แก่โจทก์ร่วมด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share