แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่เจ้าพนักงานตำรวจใช้สายลับนำเงินไปล่อซื้อ ยาเสพติดให้โทษจากจำเลยมิได้เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย มิได้ผิดศีลธรรมหรือทำนองคลองธรรม มิได้เป็นการใส่ร้าย ป้ายสีหรือยัดเยียด ความผิดให้จำเลย หากจำเลยมิได้มี ยาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เมื่อสายลับ ไปขอซื้อยาเสพติดให้โทษจากจำเลย จำเลยย่อมไม่มียาเสพติดให้โทษ จะจำหน่ายให้แก่สายลับ ความผิดย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ การกระทำของเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวเป็นเพียงวิธีการ เพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลย ไม่เป็นการแสวงหาหลักฐานโดยมิชอบ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน รับฟังลงโทษจำเลยได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 จำเลยรับเงินจากสายลับ แล้วจำเลยไปหยิบฝิ่นมา แต่ยังไม่ทันได้ส่งมอบฝิ่นให้แก่สายลับ เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับ จำเลยเสียก่อน จำเลยจึงยังไม่มีความผิดฐานจำหน่ายฝิ่น คงมีความผิดฐานพยายามจำหน่ายฝิ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้นปัญหานี้แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 2 เม็ด น้ำหนัก 0.17 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อขาย และมีฝิ่นซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 จำนวน 9 ห่อ น้ำหนัก 11.10 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำเลยได้ขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด และจำหน่ายฝิ่นจำนวน 9 ห่อดังกล่าวให้แก่ผู้มีชื่อในราคา 1,000 บาท โดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106, 116 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 17, 69, 102, 103 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ริบฝิ่นของกลางและคืนเงินจำนวน 1,000 บาท ที่ใช้ล่อซื้อ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 17 วรรคหนึ่ง, 69 วรรคหนึ่ง วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายฝิ่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 17 วรรคหนึ่ง, 69 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี ริบฝิ่นของกลาง และคืนเงินจำนวน 1,000 บาท ที่ใช้ล่อซื้อ ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคสาม จำคุก 3 ปี เมื่อรวมกับความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทแล้วเป็นจำคุก 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2538 เวลาประมาณ 13 นาฬิกาพันตำรวจโทสมนึก โพธิ์แสง นายดาบตำรวจอนุวัตร กุญชรเพชรและจ่าสิบตำรวจสงกรานต์ วิจิตปัญญา กับพวกไปที่กระท่อมนาของจำเลย แล้วจับจำเลยไปสถานีตำรวจโดยอ้างว่ายึดได้ฝิ่น 9 ห่อ น้ำหนัก 11.10 กรัม และเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ดน้ำหนัก 0.17 กรัม พร้อมด้วยธนบัตรฉบับละ 100 บาท 10 ฉบับ ซึ่งให้สายลับนำมาใช้ล่อซื้อยาเสพติดให้โทษจากจำเลยปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยกระทำผิดฐานมีฝิ่นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายฝิ่นโดยไม่ได้รับอนุญาต กับฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีเจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมจำเลยมาเบิกความเป็นพยาน 3 ปาก คือ พันตำรวจโทสมนึก โพธิ์แสง นายดาบตำรวจอนุวัตร กุญชรเพชร และจ่าสิบตำรวจสงกรานต์ วิจิตปัญญา พยานทั้งสามเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า เหตุที่ไปจับจำเลยเนื่องจากในวันดังกล่าวเวลาก่อนเที่ยงวัน มีสายลับแจ้งพันตำรวจโทสมนึกว่า มีการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษที่บ้านจำเลย พันตำรวจโทสมนึกจึงวางแผนจับกุมโดยนำธนบัตรฉบับละ 100 บาท 10 ฉบับ มาทำตำหนิและถ่ายสำเนากับลงรายงานประจำวันไว้แล้วมอบธนบัตรดังกล่าวให้สายลับนำไปใช้ล่อซื้อยาเสพติดให้โทษที่บ้านจำเลย ต่อมาเวลาประมาณ 13 นาฬิกา พยานทั้งสามกับพวกไปซุ่มรออยู่ห่างบ้านจำเลยประมาณ 20 ถึง 30 เมตร หลังจากนั้นสายลับกลับมาแจ้งว่าจำเลยกำลังรับประทานอาหาร ของที่จะซื้ออยู่ที่กระท่อมนาห่างบ้านจำเลยประมาณ 500 เมตร แล้วสายลับขับรถจักรยานยนต์ไปรอจำเลยที่กระท่อมนา พยานทั้งสามกับพวกจึงขับรถจักรยานยนต์ไปซุ่มรออยู่หลังเล้าไก่ที่ด้านข้างกระท่อมนาและด้านหลังกระท่อมนา ซุ่มรออยู่ประมาณ 10 นาที จำเลยก็ขี่รถจักรยานยนต์มาจำเลยพูดกับสายลับตรงบันไดกระท่อมนา สายลับส่งเงินให้จำเลย จำเลยรับเงินแล้วเดินทะลุใต้ถุนบ้านตรงไปที่ข้างเล้าไก่และหยิบของบริเวณกอหญ้าห่างจากเล้าไก่ประมาณ 3 ถึง 4 เมตร พยานทั้งสามกับพวกจึงแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นพบว่าจำเลยถือถุงพลาสติกอยู่ 1 ถุง ในถุงพลาสติกมีฝิ่น 9 ห่อ และเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด และจำเลยถือธนบัตรฉบับละ 100 บาท ทั้ง 10 ฉบับที่ให้สายลับนำไปล่อซื้อยาเสพติดให้โทษอยู่ในมือด้วยแม้จำเลยจะอ้างว่านายดาบตำรวจอนุวัตรโกรธเคืองจำเลยที่ไม่ให้ไม้แก่นายดาบตำรวจอนุวัตรแต่นายดาบตำรวจอนุวัตรปฏิเสธว่าไม่เคยขอไม้จำเลย ไม่ได้มีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยข้ออ้างของจำเลยจึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งผู้ที่ทราบเรื่องจากสายลับวางแผนจับกุมและนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยคือพันตำรวจโทสมนึกไม่ใช่นายดาบตำรวจอนุวัตรพันตำรวจโทสมนึกไม่ได้มีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะแกล้งปรักปรำจำเลย นอกจากนี้ปรากฏตามสำเนารายงานประจำวันธุรการเอกสารหมาย จ.2 ว่า เมื่อเวลา 12.10 นาฬิกา ก่อนไปจับจำเลยประมาณ 1 ชั่วโมง ได้มีการลงบันทึกเรื่องและหมายเลขธนบัตรที่พันตำรวจโทสมนึกมอบให้สายลับนำไปใช้ล่อซื้อยาเสพติดให้โทษไว้ และตามบันทึกจับกุมเอกสารหมาย จ.3 มีรายละเอียดตรงกับคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสาม โดยจำเลยได้ลงลายมือชื่อรับรองว่าจำเลยให้การรับสารภาพด้วยที่จำเลยอ้างว่าจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับมือให้ลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.3 นั้น เห็นได้ว่าลายมือชื่อของจำเลยในเอกสารหมาย จ.3 มีลายเส้นที่หนักสม่ำเสมอ ลักษณะตัวอักษรได้รูปทรงชัดเจนและมีลักษณะเช่นเดียวกับลายมือชื่อจำเลยในใบแต่งทนายความบันทึกคำให้การจำเลยและเอกสารอื่นในสำนวนน่าเชื่อว่าเป็นการลงลายมือชื่อโดยความสมัครใจของจำเลยเอง มิได้เกิดจากการถูกจับมือเขียนตามข้ออ้างของจำเลยที่จำเลยอ้างว่าตามที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับจำเลยเบิกความว่ามีฝิ่น เมทแอมเฟตามีน และธนบัตรที่ใช้ล่อซื้ออยู่ในมือขวาของจำเลยเป็นเรื่องผิดปกติ ไม่น่าเชื่อนั้น เห็นว่า ฝิ่นของกลางมีจำนวน 9 ห่อ แต่ละห่อมีขนาดปลายนิ้วก้อยและเมทแอมเฟตามีนของกลางมีเพียง 2 เม็ด ของกลางทั้งหมดมีน้ำหนักรวม 11.27 กรัม ใส่อยู่ในถุงพลาสติกถุงเดียวกัน ธนบัตรที่ใช่ล่อซื้อเป็นธนบัตรฉบับละ 100 บาท มีจำนวน 10 ฉบับ การที่จำเลยใช้มือขวาข้างเดียวกำ ธนบัตรดังกล่าวและถือถุงพลาสติกของกลางอีก 1 ถุง ไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติหรือเป็นไปไม่ได้ ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่ได้นำสายลับมาเบิกความ จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะจำหน่ายยาเสพติดให้โทษแก่สายลับนั้น เห็นว่าโจทก์มีพันตำรวจโทสมนึก นายดาบตำรวจอนุวัตร และจ่าสิบตำรวจสงกรานต์ผู้เห็นเหตุการณ์ขณะสายลับส่งเงินให้จำเลยมาเบิกความเป็นพยาน ประกอบกับคำรับสารภาพชั้นจับกุมของจำเลย พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักฟังได้ว่าจำเลยรับเงินจากสายลับแล้วไปเอาถุงพลาสติกใส่เมทแอมเฟตามีนและฝิ่นของกลางมาเพื่อจะมอบให้สายลับ แต่ถูกพันตำรวจโทสมนึกกับพวกจับเสียก่อน การที่โจทก์ไม่ได้นำสายลับมาเบิกความไม่ได้ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือ และที่จำเลยอ้างว่าการที่เจ้าพนักงานตำรวจใช้ให้สายลับนำเงินไปล่อซื้อยาเสพติดให้โทษจากจำเลยเป็นการแสวงหาหลักฐานโดยมิชอบ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้นั้น เห็นว่าการกระทำดังกล่าวมิได้ฝ่าฝืนกฎหมาย มิได้ผิดศีลธรรมหรือทำนองคลองธรรม มิได้เป็นการใส่ร้ายป้ายสีหรือยัดเยียดความผิดให้จำเลย หากจำเลยมิได้มียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เมื่อสายลับไปขอซื้อยาเสพติดให้โทษจากจำเลย จำเลยย่อมไม่มียาเสพติดให้โทษจะจำหน่ายให้แก่สายลับความผิดย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ การกระทำของเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวเป็นเพียงวิธีการเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยไม่เป็นการแสวงหาหลักฐานโดยมิชอบ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน รับฟังลงโทษจำเลยได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 ข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่สำหรับความผิดฐานจำหน่ายฝิ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นเห็นว่าข้อเท็จจริงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยรับเงินจากสายลับแล้วจำเลยไปหยิบฝิ่นมาแต่ยังไม่ทันได้ส่งมอบฝิ่นให้แก่สายลับเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับจำเลยเสียก่อน จำเลยจึงยังไม่มีความผิดฐานจำหน่ายฝิ่น คงมีความผิดฐานพยายามจำหน่ายฝิ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายฝิ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ถูกต้อง แม้ปัญหานี้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225 ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลดโทษจำเลยนั้นเห็นว่า คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ สมควรลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ที่ศาลล่างทั้งสองไม่ลดโทษให้จำเลยไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น สำหรับฎีกาของจำเลยที่ขอให้รอการลงโทษนั้นเห็นว่า จำเลยมีฝิ่นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย มีจำนวนถึง 9 ห่อ มีน้ำหนักถึง 11.10 กรัม ทั้งยังมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย พฤติการณ์ของจำเลยไม่สมควรรอการลงโทษให้ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รอการลงโทษจำเลยชอบแล้วฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามจำหน่ายฝิ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคสอง และวรรคสาม ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 การกระทำของจำเลยฐานพยายามจำหน่ายฝิ่นโดยไม่ได้รับอนุญาต กับฐานมีฝิ่นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคสอง และวรรคสาม อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 8 เดือนและฐานมีฝิ่นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต 2 ปี รวมจำคุก 2 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 1