คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 30/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาจ้างแก่จำเลยก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่จำเลยไม่ว่าจะพิจารณาในแง่ใด ด้วยเหตุนี้ แม้พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบจะได้ความไม่แจ้งชัดก็ดีหรือบางรายการโจทก์เรียกร้องค่าเครื่องมือเครื่องใช้ หรือค่าก่อสร้างไม่ได้ อันเนื่องมาจากโจทก์ต้องเป็นผู้จัดหาเครื่องมือต่าง ๆ สำหรับใช้ทำงานให้สำเร็จในแต่ละอย่าง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 588 หรือเพราะมิได้กำหนดกันไว้ในสัญญา เป็นต้นว่าค่าปรับปรุงซ่อมแซมถนนก็ดี แต่เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ รวมทั้งเอกสารสรุปผลงานของพนักงานจำเลยก่อนวันโจทก์หยุดงานในวันที่ 23 ตุลาคม 2535 เป็นเวลา 18 วัน ซึ่งก็ปรากฏว่างานที่จ้างได้ดำเนินการไปถึงงวดที่ 6 โดยงานวางท่อในงวดที่ 3 และที่ 5 สำเร็จ 45 เปอร์เซนต์ และ 2 เปอร์เซ็นต์ งานบ่อพักในงวดที่ 6 สำเร็จ 35 เปอร์เซ็นต์ จึงสมควรกำหนดค่างานก่อสร้างตลอดจนค่าวัสดุส่วนที่โจทก์ได้ทำขึ้นแล้ว นอกเหนือจากงานในงวดที่ 1 และที่ 2 และที่ 4 ให้โจทก์อีก เท่าจำนวนเงินที่โจทก์ได้รับไปจากจำเลยก่อนงวดการจ่ายเงินในงวดต่าง ๆ ดังกล่าวตามนัยแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคสาม
ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าภาษีมูลค่าเพิ่มจากจำเลยหรือไม่ ศาลฎีกาได้ส่งสำนวนให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 10 วรรคสอง ซึ่งประธานศาลฎีกา ได้ตรวจสำนวนแล้วเห็นเป็นกรณีสืบเนื่องจากข้อพิพาทว่าผู้ใดผิดสัญญาจ้าง ไม่มีคดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องภาษีอากร ตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 วินิจฉัยว่า คดีของโจทก์ไม่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลภาษีอากร ดังนั้นศาลฎีกาจึงเห็นสมควรจะได้วินิจฉัยปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าภาษีมูลค่าเพิ่มจากจำเลยหรือไม่ไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาปัญหาข้อนี้ใหม่
ผู้ที่มีอำนาจเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการได้จะต้องเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ดังความในมาตรา 82/4 และมาตรา 77/1 (6) อันเป็นคนละส่วนกันกับผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งกฎหมายบัญญัติ ไว้เฉพาะแต่ผู้ประกอบการเท่านั้น ฉะนั้น เมื่อมาตรา 82/4 และมาตรา 77/1 (6) บัญญัติวางเงื่อนไขไว้เช่นนี้ โจทก์ก็ต้องดำเนินการให้ครบถ้วนตามนั้น จึงจะก่อให้เกิดอำนาจแก่โจทก์ในข้อที่จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายดังกล่าวได้ ทั้งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาชอบที่จะยกเรื่องนี้ขึ้นวินิจฉัยได้ และด้วยเหตุดังกล่าวตามคำฟ้องของโจทก์ก็ดี หรือตามทางนำสืบของโจทก์ก็ดี ความไม่ปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 85 หรือมาตรา 85/1 หรือที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มชั่วคราว ตามมาตรา 85/3 แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องโดยอาศัยสิทธิและเงื่อนไขตามกฎหมายดังกล่าวเพื่อเรียกให้จำเลย ชำระหนี้ดังกล่าว
จำเลยตกเป็นผู้ผิดสัญญาแก่โจทก์ จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามสัญญาจ้างจำนวน ๓,๒๑๒,๕๗๙.๓๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระเงิน ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงิน ๒,๓๙๒,๔๗๒.๙๘ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้โจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นเงิน ๑,๑๘๑,๒๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค ๑ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้เงิน ๑,๙๓๙,๕๙๑.๗๐ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องแย้งของจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๓๕ จำเลยได้ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้ก่อสร้างวางท่อระบายน้ำและก่อสร้างถนนลาดยางในบริเวณที่ดินจัดสรรของจำเลยที่ตำบลคลองสิบเอ็ด หลังเขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร รวมราคา ๙,๐๖๙,๘๓๐ บาท มีกำหนดแล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วัน โดยจำเลยชำระ ค่าจ้างแก่โจทก์เป็นงวด ๆ ตามหนังสือจ้างเอกสารหมาย จ.๒ ซึ่งในวันทำสัญญาจำเลยได้ชำระเงินแก่โจทก์ ๕๐๐,๐๐๐ บาท หลังจากนั้นจำเลยได้ชำระแก่โจทก์อีก ๒ ครั้ง ในวันที่ ๓ หรือ ๖ กรกฎาคม ๒๕๓๕ และวันที่ ๒๘ หรือ ๓๐ กันยายน ๒๕๓๕ จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท และ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับ โดยข้อเท็จจริงฟังได้ต่อไปว่า ในการปฏิบัติงานตามสัญญาจ้างโจทก์ได้เริ่มทำงานในงวดที่ ๔ ก่อนแล้วจึงทำงานในงวดที่ ๑ ที่ ๒ ตามลำดับ ต่อมาในวันที่ ๑๗ หรือ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๕ โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระค่าจ้างในงวดที่ ๔ วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๕ โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระค่าจ้างในการ นำเครื่องจักรเข้าบดอัดพื้นดินเดิมและวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๓๕ โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระค่าจ้างในงวดที่ ๑ จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท …
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าจ้างจากจำเลยหรือไม่เพียงใด สำหรับเงินค่าจ้างประจำงวดที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ซึ่งตามสัญญาระบุจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และ ๕๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยเป็นผู้ผิดสัญญาจ้างไม่ชำระเงินแก่โจทก์ตามงวดดังกล่าว จำเลยก็ต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามนั้น …
ส่วนข้อที่ว่า การวางท่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด ๐.๘๐ เมตร ซึ่งเป็นการก่อสร้างหรือการวางท่อใน งวดการจ่ายเงินงวดที่ ๓ นั้น แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องไว้โดยชัดแจ้ง แต่ตามคำฟ้องข้อ ๔ ตอนท้าย ได้อ้างอิงถึงรายการคำนวณตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓ แผ่นที่ ๒ บรรทัดที่ ๓ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องได้ระบุรายการงวดที่ ๓ ไว้แล้ว และจำเลยให้การปฏิเสธเพียงว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดศาลจึงชอบที่จะวินิจฉัยเรื่องนี้ไปได้ โดยความข้อนี้นางสาวชุลีพร นิยม เบิกความว่า หลังจากบอกเลิกสัญญาโจทก์ได้เรียกค่าจ้างงานตามที่ได้ทำไปจริง รวมทั้งค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม หักเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ออกแล้ว คงเหลือจำนวน ๓,๒๑๒,๕๗๙ บาท ตามเอกสารหมาย จ.๓๐ โดยรายการที่ ๓ แผ่นที่ ๒ ตามเอกสารหมาย จ.๓๐ ระยะที่ทำแล้ว ๑,๑๔๔ เมตร โจทก์คำนวณราคาไว้เป็นเงิน ๑,๑๐๒,๘๑๖ บาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่เกินไปจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญาเอกสารหมาย จ.๒ ข้อ ๘ งานงวดที่ ๓ ที่ได้กำหนดความยาวไว้ที่ ๑,๗๓๗ เมตร ในราคาเพียง ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่โจทก์จะต้องทำการก่อสร้างเกินไปจากวงเงินตามสัญญาในงวดงานดังกล่าว มากมายขนาดนั้น คิดเฉลี่ยตามราคาที่โจทก์ก่อสร้างและอ้างถึงซึ่งถ้างานสำเร็จตามงวดจะมีค่าถึง ๑,๖๗๔,๔๖๘ บาท เกินไปจากสัญญา ๖๗๐,๐๐๐ บาทเศษ ประกอบกับนายสมชาย นิยม พยานโจทก์เบิกความแต่เพียงว่า นอกจากทั้งสี่งวดแล้วโจทก์ยังได้ทำงานอื่นให้แก่จำเลยอีกได้แก่ การวางท่อขนาด ๐.๘๐ เมตร ยาวประมาณ ๑,๐๐๐ กว่าเมตร พร้อมบ่อพัก ฝาเหล็กและโครงเหล็กบ่อพักไว้ครบแล้ว ทั้งยังได้สั่งซื้อท่อขนาดต่าง ๆ มาไว้ที่หน้างานอีก โดยมิได้เบิกความถึงว่า มีจำนวนและมีราคามากน้อยเพียงใด และนางพเยาว์ นิยม พยานโจทก์อีกปากหนึ่งก็มิได้เบิกความถึงดังกล่าวประการใด พยานหลักฐานโจทก์ในข้อนี้จึงยังได้ความไม่เป็นที่ชัดแจ้งแน่นอนและตามรายงานประจำวันของสถานีตำรวจ นครบาลลำหินตามเอกสารหมาย จ.๑๘ ได้ความว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ศาลชั้นต้นนั้นจำเลยได้ว่าจ้างให้บุคคลอื่นทำการขนย้ายวัสดุของโจทก์ที่อยู่ในที่ดินของจำเลยไปไว้ที่อื่นโดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ซึ่งโจทก์ไม่ได้นำสืบพยานให้ได้ความชัดเจนว่า จำเลยไม่ได้รับไว้หรือได้ขนย้ายวัสดุของโจทก์ออกไปจากที่ดินดังกล่าวนั้น มีสิ่งใดบ้างและมีจำนวนมากน้อยเพียงใด พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่เป็นที่แน่นอนอีกแต่อย่างไรก็ดีเมื่อจำเลย เบิกความยอมรับว่าหลังจากโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วจำเลยได้เปิดการประมูลงานเพื่อหาผู้รับจ้างทำงานต่อจนแล้วเสร็จ ดังรายละเอียดตามเอกสารหมาย ล.๑๔ และ ล.๑๖ โดยเอกสารหมาย ล.๑๖ แผ่นที่ ๒ ปรากฏว่ามีผู้ให้ราคาสูงสุดจำนวน ๔,๐๕๗,๑๔๔ บาท และผู้ให้ราคาต่ำสุดจำนวน ๒,๗๘๕,๓๐๕ บาท หากรวมราคาค่าก่อสร้างและค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องจำนวน ๓,๙๓๖,๙๙๐ บาท เข้าด้วยแล้ว รวมเป็นเงิน ๗,๙๙๔,๑๓๔ บาท หรือ ๖,๗๒๒,๒๙๕ บาท ซึ่งก็ยังน้อยกว่าราคาค่าก่อสร้าง ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์เมื่องานเสร็จตามสัญญาจ้างจำนวน ๙,๐๖๙,๘๓๐ บาท ด้วยเหตุดังกล่าวไม่ว่าจะพิจารณาในแง่ใด การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาจ้างแก่จำเลยย่อมก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่จำเลยทุกสถาน ด้วยเหตุนี้แม้พยานหลักฐาน ที่นำสืบจะได้ความไม่แจ้งชัดก็ดี หรือตามเอกสารหมาย จ.๓๐ บางรายการโจทก์เรียกร้องค่าเครื่องมือ เครื่องใช้ หรือ ค่าก่อสร้างไม่ได้ อันเนื่องมาจากโจทก์ต้องเป็นผู้จัดหาเครื่องมือต่าง ๆ สำหรับใช้ทำงานให้สำเร็จในแต่ละอย่าง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๘ หรือเพราะมิได้กำหนดกันไว้ในสัญญาเป็นต้นว่าค่าปรับปรุงซ่อมแซมถนนก็ดี แต่เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ ดังที่วินิจฉัยมาข้างต้น รวมทั้งเอกสารสรุปผลงานของพนักงานจำเลย ตามหมาย ล.๑๔ ลงวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๓๕ ก่อนวันโจทก์หยุดงานในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๓๕ เป็นเวลา ๑๘ วัน ซึ่งก็ปรากฏว่างานที่จ้างได้ดำเนินการไปถึงงวดที่ ๖ โดยงานวางท่อในงวดที่ ๓ และที่ ๕ สำเร็จ ๔๕ และ ๒ เปอร์เซ็นต์ งานบ่อพักใน งวดที่ ๖ สำเร็จ ๓๕ เปอร์เซ็นต์ จึงสมควรกำหนดค่างานก่อสร้างตลอดจนค่าวัสดุส่วนที่โจทก์ได้ทำขึ้นแล้ว นอกเหนือจากงานในงวดที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ให้โจทก์อีก ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เท่าจำนวนเงินที่โจทก์ได้รับจากจำเลยก่อนงวด การจ่ายเงิน ในงวดต่าง ๆ ดังกล่าวตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ วรรคสาม จึงยังคงเหลือค่าจ้าง ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ตามงวดจำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าภาษีมูลค่าเพิ่มจากจำเลยหรือไม่ โดยปัญหานี้ ศาลฎีกาได้ส่งสำนวนให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๑๐ วรรคสอง ซึ่งประธานศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนแล้วเห็นเป็นกรณีสืบเนื่องจากข้อพิพาทว่าผู้ใดผิดสัญญาจ้าง ไม่มีคดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องภาษีอากรตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและ วิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ วินิจฉัยว่า คดีของโจทก์ไม่เป็นคดีที่มีอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลภาษีอากร ดังนั้นศาลฎีกาจึงเห็นสมควรจะได้วินิจฉัยปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าภาษีมูลค่าเพิ่มจากจำเลยหรือไม่ไปเลย โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิจารณาข้อนี้ใหม่ ซึ่งเรื่องนี้ผู้มีอำนาจเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการได้จะต้องเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ดังความในมาตรา ๘๒/๔ และมาตรา ๗๗/๑ อันเป็น คนละส่วนกันกับผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้เฉพาะแต่ผู้ประกอบการเท่านั้น ฉะนั้น เมื่อมาตรา ๘๒/๔ และมาตรา ๗๗/๑ (๖) บัญญัติวางเงื่อนไขไว้เช่นนี้โจทก์ก็ต้องดำเนินการให้ครบถ้วนตามนั้น จึงจะก่อให้เกิดอำนาจ แก่โจทก์ในข้อที่จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฏหมายดังกล่าวได้ ทั้งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาชอบที่จะยกเรื่องนี้ขึ้นวินิจฉัยได้และด้วยเหตุดังกล่าวตามคำฟ้องของโจทก์ก็ดี หรือตามทางนำสืบของโจทก์ก็ดี ความไม่ปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา ๘๕ หรือมาตรา ๘๕/๑ หรือที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มชั่วคราว ตามมาตรา ๘๕/๓ แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องโดยอาศัยสิทธิและเงื่อนไขตามกฎหมายดังกล่าว เพื่อเรียกให้จำเลยชำระหนี้ที่ว่านี้ได้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายตามฎีกาของจำเลยว่าโจทก์ต้องชำระค่าเสียหายตามฟ้องแย้งแก่จำเลยหรือไม่เพียงใด ซึ่งเมื่อกรณีฟังได้ว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดสัญญาแก่โจทก์ จำเลยก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากโจทก์ไม่ว่า มากน้อยเพียงใด เนื่องจากความเสียหายหากเกิดแก่จำเลยก็เป็นความเสียหายที่เกิดจากการประพฤติผิดสัญญาของจำเลยเอง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ .

Share