แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ขณะที่จำเลยกับพวกลงจากรถยนต์แท็กซี่ สิบตำรวจตรี ส.กับพวกแสดงตนว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นตัวจำเลย กับพวกเนื่องจากสงสัยว่าจำเลยกับพวกเป็นคนร้ายแต่จำเลยกับพวกไม่ยอมให้ตรวจค้นและวิ่งหนีไปทันที อันส่อ แสดงว่าจำเลยกับพวกมีพิรุธน่าสงสัย เมื่อสิบตำรวจตรี ส. กับพวกวิ่งไล่ตามจำเลยไปห่างกันประมาณ 10 เมตร จำเลยได้เอี้ยวตัวหันหน้ามาแล้วใช้อาวุธปืนยิ่งใส่ สิบตำรวจตรี ส. กับพวก แต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้ใด แม้จำเลยไม่ได้หยุดวิ่งขณะหันกลับมาใช้อาวุธปืนยิงไป 1 นัด แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงมาทาง เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ขณะวิ่งไล่ตาม จำเลยไป จำเลยย่อมเล็งเห็นผลหรือคาดหมายได้ว่า กระสุนปืนที่จำเลยยิงไปนั้นหากถูกเจ้าพนักงานคนใดคนหนึ่ง ที่วิ่งตามมา เจ้าพนักงานดังกล่าวย่อมถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และจำเลยได้ลงมือ กระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจาก กระสุนปืนไม่ถูกผู้ใดจำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 140, 289, 371, 80, 83 และ 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72 และ 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง 140 วรรคสาม และมาตรา 289(2) ประกอบมาตรา 80 การกระทำเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(2) ประกอบมาตรา 52 และ 80 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิตกระทงหนึ่งและมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7 และ 72 จำคุก 2 ปี กระทงหนึ่งและมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง และ 72 ทวิ วรรคสองซึ่งถือเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่งและ 72 ทวิ วรรคสอง จำคุก 2 ปี อีกกระทงหนึ่ง คำเบิกความรับสารภาพของจำเลยในชั้นพิจารณาสำหรับข้อหาความผิดฐานมีและพกพาอาวุธปืนโดยฝ่าฝืนกฎหมายเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษในความผิดข้อหาดังกล่าวให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกรวม 2 กระทง 2 ปี 8 เดือน และเมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้วคงจำคุกตลอดชีวิต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(2)ประกอบมาตรา 80 โดยคงจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี 8 เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยกับพวกนั่งรถยนต์แท็กซี่มาลงที่หน้าอาคารธนะสินอพาร์ตเมนต์ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของจำเลยแล้วถูกเจ้าพนักงานตำรวจ 3 คน ขอตรวจค้นจำเลยกับพวกไม่ยอมให้ตรวจค้นโดยจำเลยวิ่งหนีเข้าไปในอพาร์ตเมนต์มีสิบตำรวจตรีสินสมุทร โพธิ์ศรี และสิบตำรวจตรีประสิทธิ์ อินทร์บุตร วิ่งไล่ตามจำเลยไป ขณะจำเลยวิ่งหนีจำเลยใช้อาวุธปืนที่พกติดตัวมายิงไป 1 นัด แล้วโยนอาวุธปืนทิ้ง สิบตำรวจตรีสินสมุทรจึงใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ ไป 1 นัด กระสุนปืนไม่ถูกผู้ใด เมื่อจำเลยหลบหนีไปแล้วสิบตำรวจตรีสินสมุทรกับพวกย้อนกลับมายึดอาวุธปืนที่จำเลยทิ้งไว้เป็นของกลาง ส่วนนายยุทธพงษ์ รักษ์ทอง เพื่อนของจำเลยที่มาด้วยกันถูกสิบตำรวจตรีทินกร สนั่นเมืองควบคุมตัวไว้ และจากการตรวจค้นตัวนายยุทธพงษ์พบกระสุนปืนขนาดเบอร์ 12 จำนวน 1 นัด และเงินสดจำนวน 200 บาท มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือไม่เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่สิบตำรวจตรีสินสมุทรซึ่งไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อนเบิกความว่า ขณะที่จำเลยกับพวกลงจากรถยนต์แท็กซี่ สิบตำรวจตรีสินสมุทรกับพวกได้แสดงตนว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นตัวจำเลยกับพวกเนื่องจากสงสัยว่าจำเลยกับพวกเป็นคนร้ายแต่จำเลยกับพวกไม่ยอมให้ตรวจค้นและวิ่งหนีไปทันที แสดงว่าจำเลยกับพวกมีพิรุธน่าสงสัยจริง เมื่อสิบตำรวจตรีสินสมุทรกับพวกวิ่งไล่ตามจำเลยไปสิบตำรวจตรีสินสมุทรเบิกความว่าจำเลยได้หันหน้ามา แล้วใช้อาวุธปืนยิง 1 นัด ในชั้นสอบสวนสิบตำรวจตรีสินสมุทรก็ให้การยืนยันตามสำเนาบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของพยานเอกสารหมาย จ.4 ว่าขณะวิ่งไล่ตามจำเลยไปห่างกันประมาณ 10 เมตร จำเลยได้เอี้ยวตัวหันหน้ามาทางพยานแล้วใช้อาวุธปืนยิงใส่พยานโดยใช้มือขวาถืออาวุธปืนเล็งมาที่พยาน นอกจากนี้โจทก์ยังมีสิบตำรวจตรีประสิทธิ์เบิกความสนับสนุนว่า พยานเห็นจำเลยเอี้ยวตัวกลับมาและใช้อาวุธปืนยิงพยานและสิบตำรวจตรีสินสมุทรจริงและในชั้นสอบสวนตามสำเนาบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของพยานเอกสารหมาย จ.6 พยานก็ให้การว่าพยานเห็นจำเลยเล็งอาวุธปืนมาทางสิบตำรวจตรีสินสมุทรแล้วใช้อาวุธปืนยิงแต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้ใดพยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานของรัฐซึ่งได้กระทำการไปตามหน้าที่ราชการเชื่อว่าพยานทั้งสองเบิกความไปตามความสัตย์จริง จึงฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงมาทางสิบตำรวจตรีสินสมุทรและสิบตำรวจตรีประสิทธิ์จริง แม้จำเลยไม่ได้หยุดวิ่งขณะหันกลับมาใช้อาวุธปืนยิงไป 1 นัด แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงมาทางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ขณะวิ่งไล่ตามจำเลยไป จำเลยย่อมเล็งเห็นผลหรือคาดหมายได้ว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงไปนั้นหากถูกเจ้าพนักงานคนใดคนหนึ่งที่วิ่งตามมาเจ้าพนักงานดังกล่าวย่อมถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และจำเลยได้ลงมือกระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากกระสุนปืนไม่ถูกผู้ใด จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น