คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 894-897/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

1. ฟ้องว่าแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานสอบสวน ตำรวจสันติบาลและสังฆมนตรี แต่ไม่ระบุว่าเป็นใคร นั้นเป็นฟ้องเคลือบคลุม ส่วนที่หาว่าแจ้งความเท็จต่อสังฆนายกแม้ไม่ระบุว่าเป็นใคร นั้น ไม่เคลือบคลุมเพราะใครๆรวมทั้งจำเลยก็เข้าใจ และในขณะฟ้องนั้นสังฆนายกก็มีองค์เดียวเท่านั้น 2. ความผิดฐานหมิ่นประมาทใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม นั้นไม่ต้องระบุว่าบุคคลที่ 3 นั้นเป็นใคร เพราะบุคคลที่3 นี้อาจเป็นใครก็ได้ 3. เมื่อปรากฏว่าที่เกิดเหตุนั้นไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลและศาลเห็นว่าฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย นั้นย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161

ย่อยาว

สำนวนที่ 1 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 326, 332

สำนวนที่ 2-3-4 ก็ทำนองเดียวกัน

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วพิพากษาว่าคดีโจทก์ไม่มีมูล ให้ยกฟ้องทั้ง 4 สำนวน

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนทั้ง 4 สำนวน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยต้องกันว่าคดีดำที่ 8752-8753/2503 ของศาลชั้นต้น (สำนวนที่ 1-2) ข้อ 2 ก. และคดีดำที่ 120-121/2504 (สำนวนที่ 3-4) ข้อ 2 โจทก์กล่าวฟ้องตรงกันว่า จำเลยแจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนตำรวจสันติบาล กับสำนวนที่ 1-2 ข้อ 2. ข กล่าวหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนตำรวจสันติบาลและสังฆมนตรีโจทก์มิได้ระบุเจ้าพนักงานสอบสวนตำรวจสันติบาลเป็นใคร และไม่ปรากฏว่า สังฆมนตรีองค์ไหน จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม ไม่ชอบที่จะรับไว้พิจารณา

ส่วนฟ้องของโจทก์ที่กล่าวหาว่าจำเลยเจตนาร้ายใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่ 3 นั้นศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ไม่จำต้องระบุว่าบุคคลที่ 3 เป็นใครกรณีต่างกับฟ้องเรื่องแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ เพราะกรณีนั้นคุณสมบัติของผู้รับแจ้งเป็นข้อสำคัญที่จะทำให้เกิดเป็นความผิดดังโจทก์กล่าวหา ส่วนเรื่องหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 คุณสมบัติของบุคคลที่ 3 หาใช่ข้อสำคัญไม่ บุคคลที่ 3 นั้นอาจเป็นใครก็ได้ฉะนั้น ฟ้องของโจทก์ในข้อหาฐานนี้จึงสมบูรณ์ตามกฎหมายและพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ไม่เคลือบคลุม ชอบที่จะรับไว้พิจารณาต่อไป ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

อนึ่ง ฟ้องคดีอาญาดำที่ 8752-8753/2503 ของศาลชั้นต้น(สำนวนที่ 1-2) ข้อ 2 ข. โจทก์ระบุว่าจำเลยแจ้งความเท็จต่อสังฆนายกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายแห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ด้วยศาลฎีกาเห็นว่า สังฆนายกมีอยู่องค์เดียวขณะที่โจทก์ฟ้อง แม้จะไม่ระบุพระนาม ใคร ๆ ตลอดจนจำเลยก็ย่อมทราบได้ดีว่าขณะนั้นสังฆนายกของประเทศไทยคือใคร ฟ้องของโจทก์สำนวนที่ 1-2 เฉพาะที่ระบุว่าจำเลยแจ้งความเท็จต่อสังฆนายกจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับไว้พิจารณาต่อไปในข้อที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จต่อสังฆนายกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตาม มาตรา 139 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

ส่วนฎีกาข้อ 2 ของโจทก์ที่ว่า คดีอาญาดำที่ 121/2504 ของศาลชั้นต้น (สำนวนที่ 4) เมื่อคดีไม่อยู่ในอำนาจที่ศาลชั้นต้นจะรับไว้ชำระได้แล้ว ก็ชอบที่จะไม่รับฟ้องและจำหน่ายคดีไป นั้น

ปรากฏตามฟ้องว่า เหตุเกิดที่ที่ทำการตำรวจสันติบาลปทุมวันอำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงพระนครใต้และโจทก์ขอให้พิจารณารวมกับคดีอื่นที่ฟ้องอีก 3 สำนวน และปรากฏในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าจำเลยได้ให้การต่อพันตำรวจเอกชลอ อุกทกภาชน์พนักงานสอบสวนที่บ้านจำเลยซึ่งอยู่ที่ถนนพระอาทิตย์ ตำบลชนะสงครามอำเภอพระนคร ซึ่งมิได้อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงพระนครใต้อันเป็นศาลชั้นต้น ในข้อนี้โจทก์มิได้ยืนยันว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลแขวงพระนครใต้ที่จะพิจารณาพิพากษาได้ หากแต่โจทก์ฎีกาเพียงว่าเมื่อคดีไม่อยู่ในอำนาจที่ศาลจะรับไว้ชำระได้แล้ว ก็ชอบที่จะไม่รับฟ้องและจำหน่ายคดีไป

ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องนี้ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษายกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161

พิพากษาแก้ว่า ฟ้องโจทก์สำนวนที่ 1-2 มีมูลเฉพาะความผิดตามมาตรา 137 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ในข้อที่กล่าวหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จต่อสังฆนายก และฟ้องของโจทก์ในข้อหาฐานหมิ่นประมาททุกสำนวน นอกจากสำนวนที่ 4 มีมูล ให้ศาลชั้นต้นประทับรับฟ้องในข้อเหล่านี้ ฯลฯ

Share