คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1132/2477

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินแแห่งกรรมสิทธิที่ดินนั้นย่อมกินทั้งเหนือพื้นดินและใต้พื้นดินด้วย แต่เมื่อฝ่ายหนึ่งได้ปลูกสร้างรุกล้ำเข้ามาเหนือที่ดินของอีกฝ่ายหนึ่งและได้กระทำโดยเปิดเผยและฝ่าฝืนขืนขัดต่อกรรมสิทธิของเจ้าของนั้นตลอดมาเป็นเวลาช้านานหลายสิบปีแล้ว เจ้าของที่ดินก็ไม่มีสิทธิที่จะบังคับผู้ครอบครองให้รื้อถอนสิ่งที่รุกล้ำนั้นได้ วิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้ฟ้องแย้งที่ตั้งทุนทรัพย์เกินกว่า 2000 บาท ย่อมฎีกาได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

ย่อยาว

ได้ความว่าตึกของโจทก์จำเลยรายพิพาทกันนี้เดิมเป็นของเจ้าของคนเดียวกันเพิ่มมาแบ่งแยกเมื่อภายหลัง ตึกโจทก์มีเรือนซึ่งทางฝ่ายโจทก์ได้ปลูกไว้ก่อนจำเลยได้รับกรรมสิทธิในที่ดินของจำเลยนี้ และมีส่วนควบบางอย่าง คือหลังคาหน้าจั่วเครื่องบนฝาและเสาเหลื่อมล้ำเข้าไปในที่ของจำเลยสิ่งที่เหลื่อมล้ำนี้เจ้าของเดิมก็มิได้ทักท้วงห้ามปราม ปล่อยให้โจทก์ปกครองมาตั้ง ๒๐ ปีเศษ และภายหลังที่จำเลยได้รับซื้อที่ส่วนของจำเลยนั้นไว้เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว จำเลยก็มิได้ทักท้วงห้ามปรามโจทก์ในเรื่องส่วนควบของเรือนที่เหลื่อมล้ำนั้นประการใด ต่อมาจำเลยได้รื้อส่วนควบตึกเรือนโรงของโจทก์และเจาะกำแพงของโจทก์จนทำให้กำแพงร้าว โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ ๆ จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยให้จัดการทำส่วนควบและกำแพงของโจทก์ให้คืนดี กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๑๐๐๐ บาท
จำเลยให้การแลฟ้องแย้งว่าเนื่องจากโจทก์ห้ามไม่ให้ช่างของจำเลยกระทำการดังที่จำเลยได้ตกลงไว้กับช่างเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหาย ๓๐๐๐ บาทเศษ และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เหลื่อมล้ำเข้าไปในที่ของจำเลยกับใช้ค่าใช้จ่ายอื่น ๆอีกจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ศาลแพ่งตัดสินว่า เรือนหลังตึกของโจทก์ที่รุกล้ำเข้าไปในที่ของจำเลยนั้น ได้ปลูกสร้างมานานกว่า ๒๐ ปี และโจทก์ได้ปกครองมาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิโดยอำนาจปรปักษ์ ให้จำเลยจัดการซ่อมแซมให้คงดีตามสภาพเดิม แต่โจทก์นำสืบไม่ได้ว่ามีการเสียหายไปเท่าใดโจทก์ไม่ควรได้ค่าเสียกาย กับให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยและคำร้องของวัดถุศลสมาคมที่ขอเข้าเป็นโจทก์เสีย
ศาลอุทธณ์ตัดสินยืนตามศาลเดิม
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยในฐานะที่เป็นผู้ฟ้องแย้งมีสิทธิจะทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพราะในคดีฟ้องแย้งจำเลยตั้งทุนทรัพย์เกินกว่า ๒๐๐๐ บาทขึ้นไป และข้อหาของโจทก์จำเลยก็มีประเด็นจะต้องวินิจฉัยในทำนองเดียวกันและเห็นว่าแม้ตามป.พ.พ.ม.๑๓๓๕ จะบัญญัติว่าแดงแห่งกรรมสิทธิที่ดินนั้นย่อมกินทั้งเหนือพื้นดินและใต้พื้นดินด้วย แต่เมื่อโจทก์ได้ใช้สิทธิปลูกสร้างรุกล้ำเข้ามาในที่ของจำเลยโดยเปิดเผยและฝ่าฝืนขืนขัดต่อกรรมสิทธิของจำเลยตลอดมาเป็นเวลาช้านานหลายปีสิบปีดังนี้ จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะบังคับโจทก์ให้รื้อถอนได้และจำเลยจะตัดทอนสิ่งที่รุกล้ำโดยพละการก็ไม่ได้ จึงตัดสินบังคับคดีตามศาลล่าง

Share