คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ขายรถยนต์เฟี้ยตให้จำเลยราคา 55,000 บาท โดยให้จำเลยชำระราคาด้วยเงินสด 20,000 บาท กับรถยนต์ออสตินของจำเลยตีราคา 35,000 บาท โจทก์จำเลยส่งมอบรถยนต์และเงินสดให้แก่กันแล้ว และตกลงจะไปโอนทะเบียนรถยนต์ให้กันเมื่อโจทก์ผ่อนชำระราคาครบและรับโอนทะเบียนมาจากกรมสวัสดิการฯ แล้ว ดังนี้ แสดงว่าทั้งสองฝ่ายยังไม่มีเจตนาโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้กันจนกว่าการจะได้เป็นไปตามเงื่อนไขแล้ว
ระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ รถยนต์เฟี้ยตซึ่งอยู่ในครอบครองของจำเลยถูกเพลิงไหม้ใช้การไม่ได้โดยไม่ใช่ความผิดของฝ่ายใด เป็นการพ้นวิสัยที่โจทก์จะโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์เฟี้ยตให้จำเลยได้ ดังนี้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ออสตินให้โจทก์ได้เพราะเป็นสัญญาต่างตอบแทนกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 372 วรรคแรก และเมื่อกรรมสิทธิ์ยังไม่โอนมายังโจทก์ ก็ไม่เรียกว่าเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการก่อให้เกิดหรือโอนทรัพยสิทธิในทรัพย์นั้น ตามมาตรา 370และมาตรา 371 ก็บัญญัติว่า สัญญาต่างตอบแทนถ้ามีเงื่อนไขบังคับก่อน และทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญานั้นสูญหรือทำลายลงในระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ จะนำมาตรา 370 มาใช้บังคับไม่ได้อีกด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ออสตินให้โจทก์โดยการแลกเปลี่ยนกัน จำเลยส่งมอบรถยนต์ให้โจทก์แล้ว แต่ไม่ยอมโอนทะเบียนให้ จึงขอให้ศาลบังคับ

จำเลยให้การว่า โจทก์ขายรถยนต์เฟี้ยตให้จำเลยราคา 55,000 บาทโดยยอมรับเงินสด 20,000 บาท กับรถยนต์ออสตินของจำเลยแทนเงิน35,000 บาท และตกลงว่าต่างฝ่ายต้องโอนทะเบียนให้แก่กัน แต่โจทก์ซื้อรถยนต์เฟี้ยตมาจากกรมสวัสดิการทหารบกโดยมีเงื่อนไขห้ามโอนภายใน 2 ปี ขณะโจทก์ขายยังไม่พ้นกำหนดห้ามโอน ต่อมารถยนต์เฟี้ยตถูกเพลิงไหม้โดยอุบัติเหตุ เป็นการพ้นวิสัยที่โจทก์จะโอนทะเบียนให้จำเลยได้ โจทก์จึงต้องคืนเงิน 20,000 บาท และรถยนต์ออสตินแก่จำเลย หากโจทก์ยังต้องการรถยนต์ออสติน ก็ชอบที่จะมอบเงินที่กรมสวัสดิการได้คืนเงินที่โจทก์ผ่อนชำระราคารถยนต์เฟี้ยตไปแล้ว20,000 บาท ให้จำเลย

วันนัดชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า โจทก์ขายรถยนต์เฟี้ยตให้จำเลยราคา 55,000 บาท โดยให้จำเลยชำระราคาด้วยเงินสด 20,000 บาท กับรถยนต์ออสตินของจำเลยซึ่งตีราคา 35,000บาท โจทก์ส่งมอบรถยนต์ที่ขายให้จำเลย และจำเลยชำระเงิน 20,000 บาทกับส่งมอบรถยนต์ออสตินให้โจทก์แล้ว โดยตกลงกันว่าแต่ละฝ่ายจะไปโอนทะเบียนรถยนต์พร้อมกันภายหลัง ระหว่างที่รถยนต์เฟี้ยตอยู่ในครอบครองของจำเลยได้ถูกเพลิงไหม้ใช้การไม่ได้ โดยไม่ใช่ความผิดของฝ่ายใด เป็นการพ้นวิสัยที่โจทก์จะโอนทะเบียนรถยนต์ให้จำเลยรถยนต์คันนี้เอาประกันภัยไว้ บริษัทจ่ายเงินให้แล้ว จำเลยเคยเรียกเงินนี้จากโจทก์ตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 1990/2500 ศาลยกฟ้องอ้างว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์เฟี้ยตยังไม่โอนมาเป็นของจำเลย โจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยาน

ศาลแพ่งเห็นว่า ความตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขายและตามคำพิพากษาคดีแดงที่ 1990/2500 ก็ชี้ขาดว่ากรรมสิทธิ์รถยนต์เฟี้ยตยังไม่โอนเป็นของจำเลย เมื่อรถยนต์คันนี้ถูกไฟไหม้ โจทก์จะโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยไม่ได้แล้ว จำเลยก็ไม่ต้องโอนทะเบียนรถยนต์ออสตินให้โจทก์ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะที่โจทก์จำเลยตกลงส่งมอบรถยนต์ให้แก่กันนั้นทั้งสองฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ยังโอนทะเบียนรถยนต์เฟี้ยตให้จำเลยไม่ได้ เพราะโจทก์ยังผ่อนชำระเงินค่ารถยนต์ให้แก่กรมสวัสดิการทหารบกไม่หมด กรมสวัสดิการฯ มีระเบียบว่าโจทก์จะต้องชำระราคารถให้หมดเสียก่อนและต้องเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี กรมสวัสดิการฯจึงจะโอนรถยนต์ให้โจทก์ โจทก์จำเลยจึงสัญญากันว่า ต่างจะโอนทะเบียนรถยนต์ให้แก่กันพร้อมกัน เมื่อโจทก์ได้รับโอนทะเบียนมาจากกรมสวัสดิการฯ แล้ว ซึ่งแสดงว่าทั้งสองฝ่ายยังไม่มีเจตนาโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่กันในขณะที่ตกลงกันจนกว่าการจะได้เป็นไปตามเงื่อนไข ฉะนั้น รถยนต์ออสตินจึงยังไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459 ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ที่โจทก์ฎีกาว่า เมื่อเป็นการพ้นวิสัยที่โจทก์จะโอนทะเบียนรถยนต์ให้แก่จำเลยแล้ว ฝ่ายโจทก์ก็หลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 ส่วนจำเลยยังคงมีหน้าที่ต้องโอนทะเบียนรถยนต์ให้โจทก์นั้น เห็นว่ามาตรา 219 เป็นบททั่วไปหมายความว่าถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยโดยไม่ใช่ความผิดของลูกหนี้ ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น โดยไม่ถือว่าลูกหนี้ผิดสัญญาอันจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายใด ๆแต่ในสัญญาต่างตอบแทน ลูกหนี้หามีสิทธิจะรับชำระหนี้ตอบแทนไม่ตามมาตรา 372 วรรคแรก เรื่องนี้โจทก์ไม่ต้องโอนทะเบียนรถยนต์เฟี้ยตให้แก่จำเลย แต่โจทก์ก็ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องให้จำเลยโอนทะเบียนรถยนต์ออสตินให้แก่โจทก์

ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้ต้องปรับด้วยมาตรา 370 นั้น ศาลฎีกาได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยยังมีเงื่อนไขบังคับอยู่ กรรมสิทธิ์ยังไม่โอนมายังโจทก์ เพราะฉะนั้น จึงไม่เรียกว่าเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการก่อให้เกิดหรือโอนทรัพย์สิทธิในทรัพย์นั้นตามมาตรา 370 อนึ่งมาตรา 371 ก็บัญญัติว่าสัญญาต่างตอบแทนถ้ามีเงื่อนไขบังคับก่อน และทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญานั้นสูญหรือทำลายลงในระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ จะนำมาตรา 370 มาใช้บังคับไม่ได้ ฎีกาของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น

ด้วยเหตุดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ต้องบังคับตามมาตรา372 วรรคแรก โจทก์ไม่มีสิทธิจะบังคับให้จำเลยโอนทะเบียนรถยนต์ออสตินให้แก่โจทก์ และไม่จำต้องวินิจฉัยถึงเรื่องค่าเสียหายต่อไป

พิพากษายืน

Share