แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองไม่นำเงินมาวางต่อศาลตามกำหนดในคำพิพากตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยอ้างว่ามารดาป่วยกะทันหันต้องเดินทางไปเยี่ยมที่ต่างจังหวัดนั้น มิใช่ความจำเป็นถึงขนาดจะนำเงินมาวางศาลไม่ได้ เพราะการนำเงินมาวางศาลมิใช่กิจการที่จำเลยทั้งสองจะต้องทำเองโดยเฉพาะตัว ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดชอบซึ่งจะทำให้จำเลยทั้งสองไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 205 ศาลยกคำร้องของดการบังคับคดีของจำเลยทั้งสองได้โดยไม่ต้องไต่สวน
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลความว่า จำเลยทั้งสองยอมร่วมกันรับผิดชดใช้เงินจำนวน 107,000 บาท ให้แก่โจทก์ โดยตกลงผ่อนชำระให้เป็นรายเดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือนนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2530 เป็นต้นไป และจะชำระให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคม 2534 โดยจำเลยทั้งสองจะนำเงินมาวางที่ศาลหากจำเลยทั้งสองผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี ในระหว่างผิดนัดศาลชั้นต้นพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น วันที่ 30 เมษายน 2530จำเลยที่ 2 นำเงิน 2,000 บาท มาวางต่อศาลชั้นต้น วันที่ 1 มิถุนายน2530 โจทก์แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยทั้งสองได้ชำระเงิน2,000 บาท ให้แก่โจทก์นอกศาลในวันดังกล่าวเรียบร้อยแล้วครั้นวันที่ 1 กรกฎาคม 2530 จำเลยที่ 2 นำเงิน 2,000 บาทมาวางต่อศาลชั้นต้น ต่อมาวันที่ 3 กรกฎาคม 2530 โจทก์ยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดี โดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองผิดนัด ไม่นำเงินงวดที่ 3 มาชำระภายในกำหนด ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาที่จะผิดนัดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่เนื่องจากในวันที่ 30 มิถุนายน2530 นั้น มารดาจำเลยที่ 2 เกิดป่วยอย่างกะทันหันและรุนแรงมากจำเลยทั้งสองจำเป็นต้องเดินทางไปเยี่ยมที่ต่างจังหวัดและนำเข้ารับการรักษา จึงเดินทางกลับมาที่จังหวัดสุรินทร์ไม่ทันเวลาทำการของศาลชั้นต้น ขอให้ศาลไต่สวนหรือนัดพร้อมเพื่อพิจารณาคำร้องของจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดพร้อม ในวันนัดพร้อมทนายจำเลยทั้งสองได้มอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนการนัดพร้อม โดยอ้างเหตุว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปงานศพตาของภรรยาที่จังหวัดชลบุรีเป็นการด่วน ทนายโจทก์แถลงว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนาประวิงการบังคับคดีและตัวจำเลยก็ไม่ยอมมาศาลเพื่อเจรจากับโจทก์ ขอคัดค้านการขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นเห็นว่าแม้ทนายจำเลยไม่ว่าง ตัวจำเลยก็ควรมาแถลงศาลและทำการเจรจากับโจทก์เองได้ พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการประวิงการบังคับคดีไม่มีเหตุให้เลื่อนนัดพร้อมไปอีก ยกคำร้องของทนายจำเลยที่ขอเลื่อนคดีและที่ร้องของดการบังคับคดี ให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไปจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยทั้งสอง แล้วมีคำสั่งใหม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาว่าคดีมีความจำเป็นต้องทำการไต่สวนคำร้องของจำเลยทั้งสองที่อ้างว่าไม่มีเจตนาที่จะผิดนัดตามสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ จำเลยทั้งสองอ้างว่าในวันที่ 30 มิถุนายน 2530 ซึ่งเป็นวันถึงกำหนดที่จำเลยทั้งสองต้องนำเงินรายเดือนมาวางต่อศาลตามสัญญาประนีประนอมยอมความมารดาจำเลยที่ 2 เกิดป่วยอย่างกะทันหันและรุนแรงมาก จำเลยทั้งสองจำเป็นต้องเดินทางไปเยี่ยมที่ต่างจังหวัดและนำเข้ารับการรักษา จึงเดินทางกลับมาที่จังหวัดสุรินทร์ไม่ทันเวลาทำการของศาลชั้นต้น เห็นว่า การนำเงินมาวางศาลมิใช่กิจการที่จำเลยทั้งสองจะต้องทำเองโดยเฉพาะตัว หากจำเลยทั้งสองมีความจำเป็นดังที่อ้างมาในคำร้อง ก็ย่อมมอบหมายให้บุคคลอื่นนำเงินมาวางต่อศาลชั้นต้นได้ ทั้งไม่ปรากฏตามคำร้องว่า จำเลยทั้งสองออกเดินทางไปเมื่อเวลาใด อันจะทำให้ไม่อาจนำเงินมาวางต่อศาลชั้นต้นได้ก่อนกรณีจึงถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดชอบซึ่งจะทำให้จำเลยทั้งสองยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 205 เมื่อจำเลยทั้งสองไม่อาจยกเหตุตามคำร้องเป็นข้อแก้ตัวได้แล้ว คดีจึงไม่จำเป็นต้องทำการไต่สวนคำร้องของจำเลยทั้งสองต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและพิพากษาให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสองนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน