คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 893/2563

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฎีกาของจำเลยฉบับลงวันที่ 19 เมษายน 2562 จำเลยอ้างว่ามิได้กระทำความผิด ขอให้ยกฟ้องต่อมาจำเลยยื่นฎีกาฉบับลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 โดยศาลชั้นต้นรับเป็นคำแถลงการณ์เนื่องจากยื่นเกินกำหนดระยะเวลายื่นฎีกา แต่ตามเนื้อหาเป็นการขอให้การรับสารภาพในชั้นฎีกา ซึ่งแม้จำเลยไม่อาจกระทำได้เพราะการแก้ไขคำให้การจะต้องกระทำก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 163 วรรคสอง แต่การที่จำเลยยื่นคำแถลงการณ์โดยขอให้การรับสารภาพในชั้นฎีกา ถือได้ว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงโดยไม่โต้แย้งข้อที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง จึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยอีกต่อไปว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 276, 278, 364
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคหนึ่ง (เดิม), 278 (เดิม), 364 (เดิม) การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 8 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 16 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยยื่นฎีกา 2 ฉบับ กล่าวคือ ฉบับลงวันที่ 19 เมษายน 2562 และฉบับลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเบิกตัวจำเลยมาสอบถาม จำเลยแถลงว่า จำเลยจัดทำฎีกาฉบับลงวันที่ 19 เมษายน 2562 ก่อนฎีกาฉบับลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 โดยเนื้อความในฎีกาฉบับลงวันที่ 19 เมษายน 2562 จำเลยยังคงให้การปฏิเสธและขอให้ศาลฎีกาลดโทษให้แต่ภายหลังจำเลยสำนึกผิดจึงจัดทำฎีกาฉบับลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 โดยขอให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาฉบับลงวันที่ 19 เมษายน 2562 เป็นฎีกาของจำเลย และรับฎีกาฉบับลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 เป็นคำแถลงการณ์ประกอบฎีกาเนื่องจากจำเลยยื่นเกินกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาที่ขอขยายไว้ เห็นว่า ตามฎีกาของจำเลยฉบับลงวันที่ 19 เมษายน 2562 จำเลยอ้างว่าเหตุคดีนี้เกิดขึ้นโดยผู้เสียหายที่ 2 ยินยอม จำเลยจึงมิได้กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ขอให้ยกฟ้องเพียงประการเดียว มิได้ขอให้ลดโทษให้ตามที่จำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นด้วย เมื่อต่อมาจำเลยยื่นฎีกาฉบับลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 โดยศาลชั้นต้นรับเป็นคำแถลงการณ์ แต่ตามเนื้อหาเป็นการขอให้การรับสารภาพในชั้นฎีกา ซึ่งแม้จำเลยไม่อาจกระทำได้เพราะการแก้ไขคำให้การจะต้องกระทำก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 วรรคสอง แต่อย่างไรก็ตามการที่จำเลยยื่นคำแถลงการณ์ดังกล่าวต่อศาลฎีกาโดยขอให้การรับสารภาพในชั้นฎีกาเช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงโดยไม่โต้แย้งข้อที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง จึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยอีกต่อไปว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 หรือไม่ อย่างไรก็ดี เมื่อจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ในชั้นพิจารณาของศาลฎีกา จึงเห็นสมควรลดโทษให้แก่จำเลยมากกว่าที่ศาลล่างทั้งสองลดโทษให้
อนึ่ง ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกามีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2562 ใช้บังคับ โดยมาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 276 แห่งประมวลกฎหมายอาญาและให้ใช้ความใหม่แทน แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงให้ใช้กฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามา
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 5 ปี 4 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 10 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share