คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8920/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามคำให้การและฟ้องแย้งจำเลยอ้างแต่เพียงว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเนื่องจากโจทก์ฟ้องเอาที่ดินพิพาทคืนเกิน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองเท่านั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเรื่องลาภมิควรได้ ศาลชั้นต้นจึงมิได้หยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัย แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 จะวินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 จำเลยฎีกาต่อมาไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปี 2527 โจทก์ซื้อสิทธิครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 42 หมู่ที่ 6 ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ จากนายจินดาและนางอุดมราคา 900,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2527 โจทก์มอบที่ดินแปลงดังกล่าวให้นายชดบุตรโจทก์เข้าครอบครองและทำประโยชน์แทนโจทก์พร้อมทั้งให้สมัครเข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์นิคมอุตสาหกรรม จำกัด เพราะเหตุว่ากฎหมายของสหกรณ์ห้ามมิให้บุคคลคนเดียวมีที่ดินเกิน 50 ไร่ โจทก์มีที่ดินแปลงอื่นอยู่แล้ว หลังจากนั้นประมาณ 4 ถึง 5 ปี โจทก์แบ่งที่ดินแปลงดังกล่าวเป็น 2 แปลง กล่าวคือ แปลงที่ 1 ให้นายชดเข้าครอบครองและทำประโยชน์แทนโจทก์มีเนื้อที่ 27 ไร่เศษ ซึ่งก็คือที่ดินพิพาทคดีนี้ แปลงที่ 2 ให้นางสาวจิ้มลิ้มบุตรโจทก์อีกคนหนึ่งเข้าครอบครองและทำประโยชน์แทนโจทก์เช่นกันมีเนื้อที่ 23 ไร่ จำเลยซึ่งเป็นภริยานายชดเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทร่วมกับนายชดด้วย ต่อมาเมื่อปลายปี 2540 นายชดถึงแก่ความตาย ก่อนนายชดถึงแก่ความตาย นายชดทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้จำเลยและจดทะเบียนรับเด็กชายนำโชคเป็นบุตรบุญธรรม โดยนายชดไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ใดเนื่องจากที่ดินมิได้เป็นของนายชด ทั้งตามพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 ห้ามมิให้จำหน่าย จ่ายโอนที่ดินภายใน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้มา อีกทั้งเป็นพินัยกรรมปลอมมิได้ทำต่อหน้าพยานและไม่ใช่ลายมือชื่อของนายชด ขอให้จำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ ให้จำเลยเพิกถอนพินัยกรรม ให้จำเลยพร้อมบริวารคัดชื่อออกจากสำเนาทะเบียนบ้านที่ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทและให้ศาลมีคำสั่งว่าการจดทะเบียนรับเด็กชายนำโชคเป็นบุตรบุญธรรมของนายชดตกเป็นโมฆะ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งกับแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยากับนายชดตั้งแต่ปี 2515 ต่อมาวันที่ 15 พฤษภาคม 2530 จำเลยกับนายชดได้จดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีบุตรด้วยกัน เมื่อประมาณต้นปี 2527 โจทก์แจ้งต่อนายชดและจำเลยว่าโจทก์ซื้อที่ดินจากนายจินดาและนางอุดมเนื้อที่ 50 ไร่ ราคา 900,000 บาท ให้นายชดกับจำเลยออกเงินค่าซื้อที่ดินบางส่วน โจทก์จะจัดแบ่งที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายชดกับจำเลยประมาณครึ่งหนึ่งพร้อมสิ่งปลูกสร้างคือบ้านเลขที่ 75 หมู่ที่ 6 ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร นายชดกับจำเลยจึงออกเงินค่าซื้อที่ดินบางส่วนให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์แบ่งและส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่นายชดกับจำเลยประมาณครึ่งหนึ่งซึ่งก็คือที่ดินพิพาทพร้อมบ้านในที่ดินพิพาท นายชดกับจำเลยครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจึงเป็นสินสมรสระหว่างนายชดกับจำเลย ต่อมาวันที่ 9 พฤษภาคม 2527 นายชดสมัครเข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์นิคมสมุทรสาคร จำกัด พร้อมทั้งรับซื้อหุ้นนางอุดมที่มีหุ้นอยู่ในสหกรณ์ดังกล่าว นายชดกับจำเลยเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท โดยทำนากุ้งและปรับปรุงที่ดินบางส่วนด้วยการสร้างเขื่อนปูน ถมดินและซ่อมแซมบ้านหลังดังกล่าว นายชดยื่นคำขอรังวัดและออกโฉนดที่ดินพิพาทต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาคร โจทก์และบุตรโจทก์ทุกคนทราบและไม่คัดค้าน นางสาวจิ้มลิ้มเป็นผู้ชี้แนวเขตในฐานะเจ้าของที่ดินข้างเคียง เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินให้นายชดตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2538 คือโฉนดที่ดินเลขที่ 55587 เลขที่ดิน 38 ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 27 ไร่เศษ ต่อมาวันที่ 13 เมษายน 2540 นายชดทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินต่างๆ ให้จำเลยเพียงผู้เดียว ซึ่งย่อมรวมถึงที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างด้วย วันที่ 13 มิถุนายน 2540 จำเลยกับนายชดจดทะเบียนรับเด็กชายนำโชคเป็นบุตรบุญธรรม วันที่ 24 ธันวาคม 2540 นายชดถึงแก่ความตาย หลังจากนายชดถึงแก่ความตายศาลชั้นต้นตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายชด แต่หลังจากนั้นโจทก์ยังไปร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายชดอีก ศาลก็ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายชด โจทก์ดำเนินการโอนที่ดินพิพาทมาเป็นของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกจึงเป็นการไม่ชอบ ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ เนื่องจากนายชดยื่นคำร้องขอรังวัดออกโฉนดที่ดินพิพาทเป็นของตนเองและได้ชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2538 เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงสิทธิดังกล่าว ขอให้ยกฟ้องและขอให้โจทก์ไปดำเนินการจดทะเบียนถอนชื่อโจทก์ออกจากโฉนดที่ดินพิพาท หากไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 55587 เลขที่ดิน 38 ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ยกฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมให้ตกเป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องเอาที่ดินพิพาทคืนฐานลาภมิควรได้ ซึ่งมีอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนหรือเมื่อพ้น 10 ปี นับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น เมื่อนับแต่วันที่โจทก์มอบที่ดินพิพาทให้แก่นายชดสามีจำเลย จนถึงวันที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า ตามคำให้การและฟ้องแย้งกับคำร้องขอแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้ง จำเลยอ้างแต่เพียงว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเนื่องจากนายชดได้ขอรังวัดออกโฉนดที่ดินพิพาทเป็นของตนเองแล้วตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2538 เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ได้รู้ถึงสิทธิดังกล่าวซึ่งข้ออ้างของจำเลยดังกล่าว เห็นได้ว่าจำเลยมุ่งต่อสู้ว่า โจทก์ฟ้องเอาที่ดินพิพาทคืนเกิน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองเท่านั้น จำเลยหาได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเรื่องลาภมิควรได้ ศาลชั้นต้นจึงมิได้หยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัย แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 จะวินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่า เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 ฎีกาของจำเลยดังกล่าวข้างต้นจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลย ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่จำเลย ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share